[unable to retrieve full-text content]
ดาวโจนส์ปิดลบ 128 จุด จับตาประชุมเฟด - Hoonsmart https://ift.tt/vL1IAP6ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google Newsดาวโจนส์ปิดลบ 128 จุด จับตาประชุมเฟด - Hoonsmart - https://ift.tt/vL1IAP6
Read More
[unable to retrieve full-text content]
ดาวโจนส์ปิดลบ 128 จุด จับตาประชุมเฟด - Hoonsmart https://ift.tt/vL1IAP6ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google Newsออมสิน เปิดตัวเงินฝาก 2 ประเภท เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษเพื่อการเกษียณ 7 ปี เป็นเงินฝากระยะยาว รับฝาก 7 ปี สำหรับเก็บออมไว้ใช้ในยามเกษียณ ไม่เสียภาษี และ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 13 เดือน มีระยะเวลาฝาก 13 เดือน ดอกเบี้ยขั้นบันได สูงสุด 4.5% และ 10% พร้อมเปิดตัวเทรนเนอร์ส่วนตัว แอปพลิเคชั่น “โค้ชออม” ช่วยวางแผนออมเงิน ผู้สนใจจองสิทธิได้จนกว่าจะเต็มวงเงิน
ออมสิน ชี้ โควิดทำคนไทยเงินออมลด - หนี้เพิ่ม
ออมสินชิงเค้กสินเชื่อบ้าน จัดโปรรับดอกเบี้ยขาขึ้น"กู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า"
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่าเนื่องในโอกาสวันออมแห่งชาติ 31 ตุลาคม 2565 ว่า ภารกิจหลักของธนาคารออมสินคือการส่งเสริมการออมของประชาชนซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งธนาคาร โดยดำเนินการผ่านผลิตภัณฑ์เงินฝาก และสลากออมสิน ที่จูงใจลูกค้าให้ออมโดยดอกเบี้ยที่ได้รับไม่ต้องเสียภาษี และมีความมั่นคงด้วยมีรัฐบาลเป็นประกันเต็มวงเงินฝาก แต่ด้วยปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สภาพสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์
ธนาคารจึงได้ขยายบทบาทการส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมเพื่อเป้าหมายต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการวางแผนเกษียณด้วย โดยในมหกรรมการออม ประจำปี 2565 ธนาคารได้ออกนวัตกรรมเงินฝากที่ผู้ฝากเงินจะได้รับสิทธิประโยชน์มากเป็นพิเศษ ถึง 2 ประเภท ได้แก่ เงินฝากเผื่อเรียกเพื่อการเกษียณ 7 ปี และ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 13 เดือน
เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษเพื่อการเกษียณ 7 ปี เป็นเงินฝากระยะยาว รับฝาก 7 ปี สำหรับเก็บออมไว้ใช้ในยามเกษียณ รับฝากเฉพาะบุคคลธรรมดา เริ่มต้นฝากขั้นต่ำ 1,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท กำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบ Step Up จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาที่ธนาคารกำหนด สูงสุด 10.00% ต่อปี ในปีที่ 7 คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.21% ต่อปี (ดอกเบี้ยไม่เสียภาษี) เทียบเท่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3.77% ต่อปี
เปิดลงทะเบียนจองสิทธิ์รับฝากที่ เว็บไซต์ www.gsb.or.th หรือ Line Official : GSB Society ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค. เป็นต้นไป จนกว่าจะหมดวงเงิน
เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 13 เดือน มีระยะเวลาฝาก 13 เดือน รับฝากบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลทุกประเภท เปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ไม่จำกัดวงเงินฝาก อีกทั้งยังให้ผลตอบแทนจูงใจด้วยอัตราดอกเบี้ยแบบ Step Up จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลาที่ธนาคารกำหนด สูงสุด 4.50% กำหนดอัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 1-6 = 0.75% ต่อปี เดือนที่ 7-12 = 1.00% ต่อปี และเดือนที่ 13 = 4.50% ต่อปี คิดเป็นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.15% ต่อปี (ผู้ฝากบุคคลธรรมดาดอกเบี้ยไม่เสียภาษี) ซึ่งเทียบเท่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1.35% ต่อปี เปิดรับฝากตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ธนาคารได้เปิดตัวบริการใหม่ แอปพลิเคชั่น “โค้ชออม” ซึ่งเป็นตัวช่วยวางแผนการออม ให้ผู้ใช้แอป สามารถทดลองคำนวณปริมาณเงินออมตามเป้าหมายต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง และยังสามารถปรับแผนการออมเมื่อผลลัพธ์การคำนวณพบว่าปริมาณเงินออมยังไม่เพียงพอ ด้วยเครื่องมือนี้ จะช่วยให้ผู้ใช้แอปได้เรียนรู้และทราบถึงสถานะการออมของตนเองอย่างง่าย ๆ และสามารถนำไปปรับใช้วางแผนการออม ทั้งที่เป็นเป้าหมายการออมระยะสั้น หรือการออมระยะยาว เพื่อให้มีเงินเพียงพอต่อคุณภาพชีวิตที่ดีหลังเกษียณ (Sufficient Retirement Saving)
ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Android สามารถดาวน์โหลดและทดลองใช้แอปพลิเคชั่น “โค้ชออม” ได้แล้วที่ Google Play Store และ iOS ภายในเดือนธันวาคม 2565 นี้.
อัปเดตข่าวล่าสุดก่อนใคร Add friend ได้ที่ @PPTVOnline
[unable to retrieve full-text content]
ลุ้นประชุม เฟด-บีโออี กดดันเงินบาท กรุงศรีฯคาดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ประชาชาติธุรกิจดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google Newsแต่หลังจากนั้น Meta ก็ต้องประสบกับข่าวร้ายมาเรื่อย ๆ เพราะดูเหมือนว่า เมตาเวิร์ส ยังไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลกเท่าที่ควรนัก
กระทั่งล่าสุดผลประกอบการในไตรมาสที่ 3/2565 ที่ประกาศออกมามีรายได้รวม 27,714 ล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 มีรายได้รวม 29,010 ล้านดอลลาร์ เท่ากับลดลง 1,296 ล้านดอลลาร์ หรือปรับลดลงราว 4.47%
ขณะที่หุ้นเมตานับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันร่วงลงมาแล้วราว 70%เคลื่อนไหวที่ระดับ 97 ดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ตั้งแต่ปี 2016
ถ้าดูกระแสความสนใจของผู้คนที่มีต่อโลกเมตาเวิร์ส ปัจจุบันดูจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ โดย เดอะ แซนด์บ็อกซ์ (The Sandbox) และดีเซนทราแลนด์ (Decentraland) แพลตฟอร์มเมตาเวิร์สชื่อดังระดับโลก ที่มีมูลค่าหลักหลายหมื่นล้านบาท แต่ล่าสุดกลับมีผู้ใช้งานไม่ถึง 1,000 คนต่อวัน เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งกระทบมายังกองทุนรวมเมตาเวิร์ส และกองทุนที่มีการลงทุนหุ้นเมตาไม่ใช่น้อย
นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า รายได้หุ้น Meta ที่ลดลงจากปีที่แล้วจำนวนมาก สาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ค่าเงินดอลลาร์ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อรายได้ค่าโฆษณา อีกประเด็นของหุ้น Meta คือการลงทุนในธุรกิจ Metaverse ที่ค่อนข้างสูงและยังคาดการณ์ได้ยากว่าจะเริ่มสร้างผลกำไรเมื่อใด แม้ว่าทางผู้บริหารจะมีแนวทางการลงทุนที่จะยังทำให้อัตรากำไรเติบโตได้ก็ตาม
อย่างไรก็ตามในส่วนของ ฟีเจอร์ Reel นั้น ปัจจุบันเริ่มมีผู้ใช้งานมากขึ้นและเริ่มมีสัญญาณที่จะสร้างรายได้ให้กับบริษัท และบริษัทกำลังลงทุนพัฒนาระบบการวัดผลการโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ปัจจุบันกองทุนที่ลงทุนใน meta มักจะอยู่ในกลุ่มหุ้นสหรัฐที่เป็นกองทุน passive สำหรับกรณีกองทุน active นั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละกองทุน ซึ่งจะมีน้ำหนักการลงทุนแตกต่างกันไปหรืออาจไม่มีการถือหุ้น meta เลยก็ได้ โดยผู้ลงทุนสามารถดูรายละเอียดของกองทุนได้ในหนังสือชี้ชวนของกองทุนรวม
นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ดาโอ จำกัด เปิดเผยว่า คอนเซ็ปด้านเทคโนโลยีของอนาคตยังเป็นไปในทิศทางดังกล่าว แต่ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าที่วิชันของผู้ที่บุกธุรกิจประเภทเมตาเวิร์สจะเป็นความจริงได้ เพราะฉะนั้นก่อนหน้านี้ที่ฮือฮาว่า เมตาเวิร์สจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างซึ่งส่วนตัวคิดว่า น่าจะต้องใช้เวลาในกลุ่มเทคอีก 10 ปีข้างหน้า เมตาเวิร์สก็คงจะมีบทบาทจริง ๆ ซึ่ง ณ ตอนนี้อาจจะยังเร็วเกินไป บวกกับที่ผ่านมา ตั้งแต่สหรัฐฯ มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หุ้นเหล่านี้ในบางบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ยังติดลบ ซึ่งอาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงเทขายค่อนข้างเยอะ
“ในธีมเมตาเวิร์ส ถือเป็นเรื่องใหม่ของการลงทุน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจน ขณะที่เฟสบุ๊คเองก็ถูกผู้ถือหุ้นกดดันในเรื่องของการทุ่มทุนการทำวิจัยเมตาเวิร์สมาก ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการยังมีไม่มาก บวกกับเรื่องอุปกรณ์อีโคซิสเต็มที่จะไปเชื่อมต่อกับคนอื่นก็ยังไม่สามารถเห็นภาพที่ชัดเจนได้ ดังนั้นแล้วนักลงทุนต้องเน้นการลงทุนระยะยาว เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต”
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แลนด์ แลนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund เปิดเผยว่า กระแสเมตาเวิร์ส ณ เวลานี้ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางลบ แต่ถือว่า เป็นเทรนด์ในอนาคตที่สามารถมีการเติบโตได้ แต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร บวกกับช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ มีการปรับขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทใดต่างก็ได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น แต่จะมากหรือน้อยต้องดูแต่ละประเภทของธุรกิจไป ซึ่งในส่วนของเมตาเวิร์สคาดว่า เมื่อเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีได้หลังจากปี 2567 ไปแล้วก็จะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ เพราะเมตาเวิร์สถือเป็นช่องทางการตลาดใหม่ที่หลายธุรกิจต่างก็ให้ความสนใจ
จากการสำรวจ morningstarthailand ณ วันที่ 26 ต.ค.65 พบว่า กองทุน Metaverse มีด้วยกัน 2 กองทุนได้แก่ กองทุนเปิด M-META ของบลจ.เอ็มเอฟซี ผลตอบแทนตั้งแต่ต้น -49.72% โดยเข้าไปลงทุนในหุ้น META สัดส่วน 7.05% ขณะที่กองทุนเปิด วรรณ เมตาเวิร์ส อิควิตี้ เพิ่งได้เปิดขายเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา (14 - 22 ก.พ. 65) เน้นลงทุนเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ METAVERSE หรือ VIRTUAL PLATFORM และ SOCIAL MEDIA ที่เกี่ยวข้องกับ COMMUNICATION SERVICES ปัจจุบันยังไม่มีการเผยแพร่ผลการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้หากย้อนไปประมาณ 1 ปี ข้อมูลจาก morningstarthailand ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 พบว่า มีกองทุนหุ้นต่างประเทศในสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนใน META อยู่หลายกองทุนไม่ว่าจะเป็น TMBUSBLUECHIP เข้าไปถือ META ในสัดส่วนง 7.61%, กองทุน KT-US-A ถือ META ในสัดส่วน 6.11%, กองทุน SCBLEQ-SSF ถือ META ในสัดส่วน 2%, กองทุน KKP PGE-H-SSF ถือ META ในสัดส่วน 1.12%, และกองทุน TMBGQGRMF ถือ META ในสัดส่วน 2.46%
แต่ ณ ปัจจุบันกองทุนดังกล่าวได้ปรับสัดส่วน META ออกไปหมดแล้ว แต่ยังคงเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในหลักทรัพย์อื่นแทน อาทิ แอปเปิ้ล หรือไมโครซอฟแทน
[unable to retrieve full-text content]
KLINIQ กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้ประชาชนทั่วไป (IPO) ในราคาหุ้นละ 24.50 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 28 ต.ค.-1 พ.ย.65 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ภายในเดือน พ.ย. โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "KLINIQ" ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ
"มั่นใจว่า KLINIQ จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม ในฐานะผู้นำธุรกิจสุขภาพและความงามครบวงจร และเป็นคลินิกเจ้าแรกที่เข้าระดมทุนในตลาดหุ้น และจากโมเดลธุรกิจ Asset Light ทำให้การขยายสาขาได้รวดเร็ว ต้นทุนไม่สูง คืนทุนได้ภายใน 2-3 ปี อีกทั้งทีมผู้บริหารยังให้ความสำคัญในเรื่องของวินัยทางการเงิน เห็นได้จากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง แทบจะเรียกได้ว่าไร้หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย ผนวกกับแบรนด์ THE KLINIQUE ที่มีความแข็งแกร่ง ทำให้ลูกค้ากลับมาใช้ซ้ำ ทำให้มีรายได้สม่ำเสมอ (Recurring Income) หนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง"
ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 65 บริษัทฯ มีรายได้รวม 714.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.26% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 451.59 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 100.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.03% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 60 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิของปี 64 ทั้งปีอยู่ที่ 129.25 ล้านบาท
นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KLINIQ กล่าวว่า วัตถุประสงค์การระดมทุนทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมนำเงินไปใช้ในการขยายสาขาคลินิกเวชกรรมราว 6-10 สาขาต่อปี ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ และหัวเมืองรอง โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนขยายคลินิกเวชกรรมและจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์เพิ่มเติมประมาณ 950 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนทุนภายใน 2-3 ปี ส่วนศูนย์ศัลยกรรมจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท คาดว่าจะคืนทุนภายใน 3-4 ปี
นอกจากนี้ ยังเตรียมนำเงินไปใช้สำหรับจัดซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการแพทย์ ขยายกิจการศูนย์ศัลยกรรม และพัฒนาระบบ IT เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของฝ่ายสนับสนุน โดยในส่วนของการพัฒนาระบบ IT งบลงทุนอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานได้ภายในปี 66 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนประมาณ 270 ล้านบาท
"เรามั่นใจว่าด้วยจากโมเดลธุรกิจ Asset Light และฐานะการเงินที่มีความแข็งแกร่ง หลังเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น จะทำให้บริษัทฯมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก อีกทั้งแบรนด์ THE KLINIQUE ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีเยี่ยม เห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่มีกว่า 2 แสนราย ที่กลับมาใช้ซ้ำ ทำให้มี Recurring Income และจากแผนการขยายสาขา จะทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ผลักดันแนวโน้มผลการดำเนินงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง" นายแพทย์อภิรุจ กล่าว
ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของประเทศ ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มในทุกมิติ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการเงิน พร้อมร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตอบโจทย์เป้าหมาย การพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs)
ธนาคารได้ร่วมงาน BOT Digital Finance Conference 2022 ณ ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย ระหว่างวันที่ 27 – 29 ตุลาคม 2565 เพื่อโชว์ศักยภาพการพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงินดิจิทัลแบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด “ติดปีกการเงินดิจิทัล สู่อนาคต” ภายในบูธ รูปทรงเรขาคณิตแบบสมมาตร เปรียบเสมือนปีกนกขนาดใหญ่ที่โอบอุ้มชีวิตคนไทย โดยแบ่งพื้นที่เป็น 3 โซน
โซนที่ 1 นวัตกรรมการเงินสำหรับภาคประชาชน ธนาคารพัฒนาบริการดิจิทัล ตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิถีใหม่ ประกอบด้วยแอปพลิเคชัน
โซนที่ 2 นวัตกรรมการเงินสำหรับบริการภาครัฐ นำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐ เพื่อยกระดับการบริการภาคประชาชน และภาคธุรกิจ ให้มีความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ ประกอบด้วย
โซนที่ 3 นวัตกรรมการเงินสำหรับภาคธุรกิจ พัฒนาระบบบริการจัดการทางการเงินดิจิทัลครบวงจร เสริมความแข็งแกร่งสำหรับผู้ประกอบการ ต่อยอดโอกาส สร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วบ
นอกจากนี้ ธนาคารเสริมทัพบริการทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจ ด้วย สินเชื่อคู่ค้าพารวย ภายใต้โครงการ Digital Supply Chain Financing เสริมสภาพคล่องเพื่อประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ ด้วยวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี อัตราดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นที่ 0.80% ต่อเดือน ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน กู้ได้สูงสุด 3 เท่าของ ยอดซื้อ สูงสุดไม่เกิน 20 ล้านบาท สะดวกเบิกใช้วงเงินผ่านช่องทางออนไลน์ทั้ง Krungthai Business และ Krungthai NEXT สินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมร่วมกับกองทุนสิ่งแวดล้อม เพื่อลงทุนในระบบบำบัดของเสียในธุรกิจ กิจการยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี สินเชื่อธุรกิจเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมเพื่อการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ลดต้นทุนให้ธุรกิจด้วยพลังงานสะอาด ให้วงเงินสูง ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี ดอกเบี้ยเริ่มต้น MRR-1% ต่อปี ไม่ต้องใช้หลักประกัน สินเชื่อ Robotic and Automation เพิ่มยอดผลิตได้ดังใจด้วยระบบอัตโนมัติ ดอกเบี้ยเริ่มต้น 4% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี
ธนาคารกรุงไทย เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดีขึ้นในทุกวัน สอดคล้องกับพันธกิจ “กรุงไทย เคียงข้างไทย สู่ความยั่งยืน” สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อสอบถามได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111 หรือ www.krungthai.com
ที่มา: ธนาคารกรุงไทย
ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -1,061.48 ล้านบาท และ นักลงทุนในประเทศขายสุทธิกว่า -381.62 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า +847.72 ล้านบาท และ บัญชี บล. ซื้อสุทธิกว่า +595.38 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.DELTA มูลค่าการซื้อขาย 4,067.45 ล้านบาท ปิดที่ 604.00 บาท ลดลง 62.00 บาท
2.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,570.16 ล้านบาท ปิดที่ 141.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
3.OR มูลค่าการซื้อขาย 1,873.60 ล้านบาท ปิดที่ 24.70 บาท ลดลง 1.05 บาท
4.TTB มูลค่าการซื้อขาย 1,833.16 ล้านบาท ปิดที่ 1.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท
5.CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,629.76 ล้านบาท ปิดที่ 59.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.EGCOปิดที่ 169.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท หรือ 2.73%
2.CENTELปิดที่ 51.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.25 บาท หรือ 4.57%
3.AEONTSปิดที่ 161.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 1.58%
4.ADVANCปิดที่ 187.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ 1.08%
5.MINTปิดที่ 28.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 4.63%
ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BHปิดที่ 228.00 บาท ลดลง 4.00 บาท หรือ1.72%
2.SCGPปิดที่ 52.25 บาท ลดลง 1.50บาท หรือ 2.79%
3.SINGERปิดที่ 39.25 บาท ลดลง 1.25บาท หรือ 3.09%
4.ORปิดที่ 24.70 บาท ลดลง 1.05 บาท หรือ 4.08%
5.COM7ปิดที่ 29.75 บาท ลดลง 1.00บาท หรือ 3.25%
ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,176.45 จุด เพิ่มขึ้น 2.22 จุด หรือ 0.10% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 967.34 จุด เพิ่มขึ้น 0.02 จุด หรือ 0.00% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 639.47 จุด ลดลง -0.86 จุด หรือ -0.13%
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานค้าหลักทรัพย์บุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวค่อนข้างผันผวน แกว่งตัวขึ้นและลงสลับกันในบางช่วง แต่เริ่มย่อตัวลงมาในแดนลบค่อนข้างมากในช่วงบ่าย สวนทางตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ปิดตลาดไปก่อนหน้าเป็นบวก ส่วนหนึ่งคาดว่าจะมาจากแรงขายทำกำไรหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์หลังจากประกาศผลการดำเนินงานออกมาแล้ว และแรงขายออกมาหลังดัชนีขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,600 จุด ได้ช่วงหนึ่ง อีกทั้งแรงขายหุ้น DELTA ที่ยังเข้ามากดดันดัชนีด้วย
อย่างไรก็ตามในช่วงบ่ายวันนี้ตลาดหุ้นยุโรปเปิดมาส่วนใหญ่ปรับตัวลง ส่วนหนึ่งคาดว่าจะมาจากแรงเทขายลดความเสี่ยงก่อนการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพรุ่งนี้ และดัชนีดาวน์โจนส์ฟิวเจอร์ของสหรัฐฯก็ปรับตัวลดลง หลังจากการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้กดดันต่อภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลก และเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับกสัญญาณการเกิด Recession มากขึ้น
ส่วนแนวโน้มพรุ่งนี้คาดว่าดัชนีแกว่งไซด์เวย์ โดยที่ยังคงรอติดตามผลการประชุม ECB ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในยุโรปอย่างไร รวมถึงรอติดตามการประกาศตัวเลข GDP สหรัฐฯไตรมาส 3/65 และยังมีการประกาศผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในประเทศที่เป็นกลุ่ม Real Sector ที่จะทยอยประกาศออกมา โดยประเมินกรอบดัชนีแนวต้านที่ 1,605-1,610 จุด และแนวรับที่ 1,575-1,580 จุด
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนธ.ค. ลบ 2.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,654.10 ดอลลาร์/ออนซ์
การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
อย่างไรก็ดี ราคาทองได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น
นักลงทุนลดคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือนธ.ค. หลังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่เฟดเริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3 ของสหรัฐในวันพฤหัสบดี
เฟดสาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.9% ในไตรมาส 3
เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งใหม่ในวันที่ 26 ต.ค. ก่อนที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจีดีพีประจำไตรมาส 3 ในวันที่ 27 ต.ค.
ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1.6% ในไตรมาส 1 และ 0.6% ในไตรมาส 2 ซึ่งการที่เศรษฐกิจหดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน ทำให้สหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค
แบงก์กรุงไทย หรือ KTB แจ้งผลประกอบการงวดไตรมาส 3/2565 ออกมาแล้ว
ตัวเลขสำคัญในงบการเงินอยู่ในระดับที่ดีมาก
เริ่มจากกำไรสุทธิ 8,450 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 67.16% เป็นตัวเลขกำไรที่มีการเติบโตสูงสุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ส่วนงวด 9 เดือนแรก โกยกำไรไปแล้ว 25,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54%
ตัวเลขกำไรงวดเก้าเดือนสูงสุดในกลุ่มฯ เช่นกัน
อย่างที่เคยย้ำกันหลายครั้ง
งบแบงก์มองแค่กำไรอย่างเดียวไม่ได้
ยังต้องเข้าไปดูตัวเลขสำคัญทางการเงินอื่น ๆ ประกอบด้วย
กำไรของกรุงไทยที่เพิ่มขึ้น
หลัก ๆ มาจากสินเชื่อเติบโต ทำให้มีรายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ไม่เพียงเท่านั้น รายได้จากค่าธรรมเนียม หรือ “ค่าฟี” เพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจอย่างมากด้วยเช่นกัน
ส่วน Cost to income ratio หรืออัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม หรือคล้าย ๆ กับการจัดการต้นทุนนั่นแหละ ได้ปรับลดลงจาก 46.21% เหลือเพียง 45.31%
ตัวเลขทางงบการเงินอื่น ๆ ที่น่าสนใจ และสะท้อนเกี่ยวกับคุณภาพสินเชื่อคือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL
ล่าสุด ณ วันที่ 30 ก.ย. 2565 หนี้เสียของกรุงไทยลงมาเหลือ 3.32%
เป็นการปรับลดลงจาก 3.50% ณ สิ้นปี 2564
อีกตัวเลขสำคัญคือ Coverage ratio ที่สามารถเพิ่มขึ้นไปได้ถึง 176.4%
ส่วนเงินกองทุนหรือ BIS Ratio สามารถขึ้นมาอยู่ในระดับสูงเช่นกัน 20.63%
ผลประกอบการกรุงไทยที่ออกมาล่าสุด
ถือว่ามากกว่าที่นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์กันไว้เล็กน้อย
แต่ที่น่าสนใจคือ กรุงไทยยังถูก มีมุมมองเชิงบวกกับแนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 4/2565 ว่ายังจะออกมาสวยเช่นกัน
จากสินเชื่อที่เติบโตได้สูง และยังเป็นสินเชื่อที่มีคุณภาพ ทั้งจากสินเชื่อรายใหญ่
และสินเชื่อรายย่อย ที่เป็นสินเชื่อบุคคล ที่กลุ่มลูกค้าหลัก ๆ มาจากข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และกลุ่มมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินเดือนเข้าบัญชีของกรุงไทย
ทำให้อัตราความเสี่ยงที่จะเกิดหนี้เสียต่ำมาก
เพราะหากมีการขอกู้กับกรุงไทย จะใช้ระบบการหักเงินจากเงินเดือนไปเลย
กรุงไทย ภายใต้การบริหารของ “ผยง ศรีวณิช” มีจุดเด่นคือการ “ยกการ์ดสูง” หรือการให้ความสำคัญกับเงินกองทุนที่จะต้องอยู่ในระดับสูงไว้ก่อน
เพื่อให้สามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ผลประกอบการของกรุงไทยไม่ได้เพิ่งจะมาสวยในงวดไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเท่านั้น
แต่ได้ดีขึ้นมาเป็นลำดับ
สะท้อนได้จากราคาหุ้นของกรุงไทย หากใครดูกราฟ จะพบว่าค่อย ๆ ปรับขึ้นมาต่อเนื่อง
อาจจะมีบางช่วงที่เกิดการ “พักฐาน” บ้าง
แต่เป็นการพักฐานตามภาวะตลาด หรือราคาขึ้นมามากเกินไป และอาจจะมีการขายทำกำไรออกมาบ้าง
ก่อนหน้านี้ หรือในช่วงปลายปี 2564 ราคาอยู่ระหว่าง 10.00–11.00 บาท
จากนั้นค่อย ๆ ปรับเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ
มีแนวต้านสำคัญ (หลังจากผ่าน 10.00 บาท) อยู่ที่ 12.00 บาท
เมื่อผ่านที่แนวต้าน 12.00 บาท ขึ้นมาได้ มีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ระดับ 15.00 บาท โดยใช้เวลากว่าครึ่งปี ที่ราคาหุ้นกรุงไทยจะผ่านแนวต้านดังกล่าวขึ้นมาได้
เมื่อผ่าน 15.00 บาทขึ้นมา
มีแนวต้านถัดไปรออยู่ที่ 17.00 บาท
ราคาหุ้นกรุงไทยมาติดอยู่ที่แนวต้านนี้ประมาณ 3 เดือน
ก่อนที่จะทะลวงขึ้นมายืนเหนือ 17.00 บาท เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2565
และล่าสุดเมื่อวันศูกร์ที่ 21 ต.ค. ราคาหุ้นกรุงไทยปิด 17.20 บาท
เมื่อย้อนกลับไปดูราคาเป้าหมายของโบรกฯ ต่าง ๆ ที่ให้ราคาเป้าหมายของกรุงไทยไว้ พบว่าจากทั้งหมด 8 โบรกฯ ให้ราคาต่ำสุดไว้ที่ 17.40 บาท และสูงสุด 21.00 บาท
ส่วน IAA Consensus Target Prize อยู่ที่ 18.60 บาท
บางโบรกฯ อยู่ระหว่างการปรับราคาเป้าหมายของกรุงไทยขึ้นอีก หลังจากผลประกอบการดีต่อเนื่อง
ส่วนวันนี้อาจจะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง
แต่หากราคาหลุด 17.00 บาท นักวิเคราะห์แนะนำว่า เหมาะต่อการเข้ารับ
ขณะที่เมื่อดูแนวโน้มผลประกอบการ บวกกับสัญญาณทางเทคนิค
ราคาของกรุงไทยที่จะกลับขึ้นมาแตะ 18.00 บาท ได้อีกนั้น
ระยะทางไม่น่าจะอยู่ไกลนัก
หรืออย่างมากแค่หน้าปากซอยเอง
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง บทเรียนที่จะแพงมากของญี่ปุ่น โดยระบุว่า ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ทางการญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนรอบที่ 2 โดยรอบนี้ น่าจะใช้เงินไปมากกว่า 1.1 ล้านล้านบาท แต่หลังค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นได้ประมาณ 7-8 ชั่วโมง นับแต่เที่ยงคืนวันศุกร์ที่ทางการญี่ปุ่นเข้าแทรกแซง วันนี้เมื่อตลาดเปิด เงินเยนก็เริ่มอ่อนค่าลงอีกรอบ ล่าสุดอยู่ที่ 149.7 เยน/ดอลลาร์ อ่อนลง 3.5 เยน จากที่แข็งขึ้นมา 6 เยน พูดง่ายๆ เงินที่ลงไปมากกว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ ละลายหายไปในแม่น้ำ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ค่าเงินเยนเช้าวันนี้ แทบจะไม่ต่างจากค่าเงินเยนสัปดาห์ก่อนหน้า โดยที่แข็งขึ้นมาได้ จากการแทรกแซงรอบที่ 2 ก็หายไปเกินครึ่งแล้ว ทำให้ทางการญี่ปุ่นอดใจไม่ได้ สั่งเข้าแทรกแซงเป็นรอบที่ 3 เช้านี้หลังจาก รมต คลัง ของญี่ปุ่น ออกมากล่าวว่า เรากำลังสู้กับนักเก็งกำไรอยู่ !!! ทุบค่าเงินเยนลงไปที่ 145.56 เยน/ดอลลาร์
แต่ล่าสุดเพียง 20 นาทีให้หลัง ค่าเงินเยนก็กลับมาที่ 148 เยน/ดอลลาร์ อีกครั้ง ล่าสุดอยู่ที่ 149 เยน/ดอลลาร์ ใกล้ๆ กับที่ก่อนเข้าแทรกแซง เป็นบทเรียนให้ทางการญี่ปุ่นว่า ช่วงนี้ ยากที่จะฝืนตลาดทำไปมีแต่กลายเป็นเหยื่ออันโอชะ ให้กับนักเก็งกำไร
ทั้งนี้ Bank of America ประมาณการจากสินทรัพย์สภาพคล่องในเงินสำรองระหว่างประเทศของญี่ปุ่น คาดว่าจะสามารถเข้าแทรกแซงแบบนี้ได้อีกประมาณ 10 ครั้งแย้งกับที่ทางการญี่ปุ่นบอกว่า “เราสามารถทำได้อย่างไม่จำกัด” หรือ “Limitless”ในประเด็นนี้ แม้ญี่ปุ่นมีเงินสำรองล่าสุดอยู่ถึง 1.24 ล้านล้านดอลลาร์สรอ. ดูเหมือนเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร แต่หากเดินหน้าสู้ไปในลักษณะนี้
สู้แต่ละครั้ง ใช้เงินมาก แต่เสียเงินฟรีกลายเป็นที่ทำเงินให้กับนักเก็งกำไร และทำให้การสู้ครั้งต่อๆ ไปยากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อได้กลิ่นเลือด ฝูงปลาฉลามก็จะมาห้อมล้อมรอคอยรอบต่อไป ยิ่งทำ เงินสำรองญี่ปุ่นก็จะค่อยๆ หร่อยหรอลง นำมาซึ่งวิกฤต ที่ไม่ควรมีแต่ต้นกลายเป็นอีกนโยบายที่ผิดพลาด หรือ Policy Mistakes ที่อาจทำให้ต้องซ้ำรอยรัฐบาล Liz Truss !!!
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 47 เซนต์ ปิดที่ 84.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 24 เซนต์ ปิดที่ 93.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แม้เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม แต่ตัวเลขนำเข้าน้ำมันดิบของจีนประจำเดือนกันยายน อยู่ที่ 9.79 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2% ข้อมูลศุลกากรระบุในวันจันทร์(24ต.ค.) ในขณะที่โรงกลั่นเอกชนชะลอการกลั่น ทท่ามกลางอุปสงค์ที่อ่อนแอลง
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายโควิด-19 เป็นศูนย์และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ของจีน กำลังบ่อนทำลายประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นการเติบโต จากความเห็นของนักวิเคราะห์ แม้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ไตรมาส 3 ของจีน จะขยายตัวมากกว่าก็คาดหมายไว้ก็ตาม
ดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำหรับราคาน้ำมันเช่นกัน เพราะมันทำให้ราคาน้ำมันแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่ถือสกุลเงินอื่นๆ
การแข็งค่าของดอลลาร์ ฉุดให้ทองคำปิดลบในวันจันทร์(24ต.ค.) หลังจากพุ่งแรงเมื่อวันศุกร์(21ต.ค.) ที่ผ่านมา โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 2.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,654.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันจันทร์(24ต.ค.) ปรับขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว สัญญาณการอ่อนตัวของเศรษฐกิจ บ่งชี้ว่านโยบายเชิงรุกของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ที่มีเป้าหมายชะลอเศรษฐกิจ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่พุ่งสูงหลายทศวรรษ กำลังเริ่มได้ผล
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 417.06 จุด (1.34 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 31,499.62 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 44.59 จุด (1.19 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,797.34 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 92.90 จุด (0.86 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 10,952.61 จุด
ดัชนีหลักทั้ง 3 ค่อยๆปรับขึ้นตลอดทั้งวัน ในวันแรกของสัปดาห์ที่จะเต็มไปด้วยรายงานผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่และข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญๆ
รายงานของเอสแอนด์พี โกลบอล พบว่ากิจกรรมทางธุรกิจหดตัวในเดือนนี้ บ่งชี้ว่าความเคลื่อนไหวปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเริ่มได้ผลตามที่ต้องการ เพิ่มความหวังว่าธนาคารกลางแห่งนี้อาจสามารถเริ่มชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอนาคตอันใกล้
(ที่มา:รอยเตอร์)
ที่มา : รายงานข่าวเรื่อง “สวทช. เดินหน้าวิจัยพัฒนา ‘รถมินิบัสไฟฟ้าขับขี่อัตโนมัติ’ ยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์” และ “สวทช. – PANUS ผนึกกำลัง ด้านวิจัยและนวัตกรรม ยกระดับอุตสาหกรรมขนส่ง-ยานยนต์-แบตเตอรี่” จากเว็บไซต์ สวทช.
ส่องความคืบหน้า นโยบาย & มาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้า ส่งประเทศในอาเซียนเป็น ฐานการผลิต EV โลก
Post Views: 6
คุณค่าบริษัท
ในช่วงที่โควิดออกอาละวาด หลายธุรกิจบาดเจ็บสาหัส แต่บริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่างบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ถือว่ายังทำผลงานได้โดดเด่น โดยเฉพาะปี 2564 ที่ยังเติบโตทั้งรายได้และกำไร โดยมีรายได้รวม 15,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่ทำได้ 10,933 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,193 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่ทำได้ 2,661 ล้านบาท
นั่นอาจเป็นเพราะ ORI มีการปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้หลากหลาย ทั้งการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนรุ่นใหม่ Gen Y และ Gen Z แนวรถไฟฟ้า, คอนโดมิเนียมที่เจาะกลุ่มไฮเอนด์ และคอนโดมิเนียมที่จับตลาดนิชมาร์ชมาร์เก็ต เป็นต้น ส่วนตลาดอสังหาฯ แนวราบ ก็มีบริษัทลูกอย่างบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เป็นหัวหอกในการปั้นรายได้และกำไร
ทำให้ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2565 ยังเห็นการเติบโตของ ORI อย่างต่อเนื่อง จากรายได้รวม 6,970 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,893 ล้านบาท
ขณะที่ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (ม.ค.-ก.ย. 2565) บริษัทมียอดขายสะสมแล้วกว่า 29,398 ล้านบาท เติบโตประมาณ 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นประมาณ 84% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี แบ่งเป็น ยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 27% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 73% โดยในช่วงไตรมาส 3/2565 บริษัทสามารถกวาดยอดขายได้กว่า 11,626 ล้านบาท เป็นยอดขายที่เติบโตทำสถิติใหม่ (New High) รายไตรมาสนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
ทำให้ผู้บริหารเตรียมปรับเพิ่มเป้าหมายยอดขายในปี 2565 ขึ้น จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 35,000 ล้านบาท เนื่องจากมีสัญญาณยอดขายที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ ในไตรมาส 4/2565 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,950 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 8,600 ล้านบาท และบ้านจัดสรร 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 6,350 ล้านบาท ที่จะมาช่วยสร้างยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้
สำหรับการประเมินมูลค่า (Valuation) ปัจจุบันราคาหุ้น ORI ซื้อขายกันที่ P/E ระดับ 7.27 เท่า เทียบกับ P/E ตลาดโดยรวมที่ระดับ 17.37 เท่า ถือว่าราคาซื้อขายยังต่ำกว่าตลาด แต่อย่างไรก็ตามถ้าดู P/BV ที่ระดับ 1.57 เท่า ก็เท่ากับค่าเฉลี่ยตลาดที่ปัจจุบันซื้อขาย P/BV เฉลี่ยที่ 1.57 เท่า
…
รายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่
รายชื่อกรรมการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ประกาศผลรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2565 โดยมีบริษัทที่ได้รับการคัดเลือกกว่า 170 บริษัท จากทั้งหมด 8 กลุ่มอุตสาหกรรม โดย บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG ติดกลุ่มหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) เป็นปีแรก ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร (ARGO)
สำหรับการคัดเลือกรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยทำการประเมินความยั่งยืนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามกรอบในมิติด้านเศรษฐกิจ (รวมบรรษัทภิบาล) สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านแบบสอบถามที่จัดทำขึ้น และทำการคัดเลือกบริษัทที่ผ่านเกณฑ์เพื่อประกาศเป็นรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทที่ผ่านการประเมินเล็งเห็นถึงความสำคัญของความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ธุรกิจดำเนินงานอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม รวมทั้งสร้างคุณค่าร่วมในเชิงเศรษฐกิจ
นายเสถียร เสถียรธรรมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CBG เปิดเผยว่า บริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับคัดเลือกให้ติดในรายชื่อหุ้นยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งปัจจุบันแนวคิดในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน ไม่ได้พิจารณาการทำกำไรสูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นอย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังต้องแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯ มองว่าการดำเนินธุรกิจโดยตระหนักถึงความยั่งยืนนั้น คือการสร้างคุณค่าในระยะยาวโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียและสังคมโดยรวมในวงกว้าง
“การได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในหุ้นยั่งยืนของคาราบาวกรุ๊ป ถือเป็นอีกหมุดหมายความสำเร็จที่สำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสียในการพิจารณาลงทุนตามแนวคิดการลงทุนอย่างยั่งยืนที่นำปัจจัยด้าน Environment, Social, Governance (ESG) มาเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจลงทุนควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของบริษัท เพื่อสร้างผลตอบแทนอย่างต่อเนื่องในระยะยาว” นายเสถียร กล่าว
สำหรับรายชื่อหุ้นยั่งยืนทั้งหมดที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้ มาจากการเข้าร่วมตอบแบบประเมินความยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัดทั่วไป 17 หมวด ครอบคลุม มิติเศรษฐกิจ (รวมบรรษัทภิบาล) สังคม และสิ่งแวดล้อม และตัวชี้วัดตามลักษณะของธุรกิจในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมรวม 12 หมวด เช่น ความเสี่ยงจากการใช้น้ำ ความรับผิดชอบต่อผลิตภัณฑ์ การจัดการด้านความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นต้น
โดยบริษัทที่ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน ต้องมีคะแนนผ่านร้อยละ 50 ในแต่ละมิติ (มิติเศรษฐกิจ มิติสิ่งแวดล้อม และมิติสังคม) หรือได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ตามรอบการประกาศผลในปีที่มีการประเมินความยั่งยืน โดยการประเมินนั้นดำเนินการโดยมีคณะทำงานเพื่อการลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นผู้กลั่นกรองให้มีความโปร่งใสตลอดกระบวนการ สามารถดูรายชื่อหุ้นยั่งยืนได้ที่ https://ift.tt/Q8fRsiC
ทั้งนี้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คาราบาวกรุ๊ปได้รับการรับรองเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ประจำปี 2564 จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ตามเลขใบรับรองเลขที่ TGO CFO FY22-152 ซึ่งบริษัทฯ ได้เปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและการรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของบริษัทในช่องทางสาธารณะและมีการรับรองความถูกต้องของข้อมูลโดยผู้ทวนสอบ แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด พร้อมร่วมลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและสภาวะโลกร้อน
สกุลเงินเยนอ่อนค่าลงทะลุระดับ 150 เยนต่อดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนตื่นตัวในระดับสูง เนื่องจากคาดการณ์ว่าทางการจะยื่นมือเข้าแทรกแซงเพื่อพยุงค่าเงินเยน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ค่าเงินเยนร่วงลงมากถึง 0.2% แตะ 150.08 เยนต่อดอลลาร์ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 32 ปีครั้งใหม่ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐพุ่งสู่ระดับสูงสุดในรอบหลายปี ซึ่งทำให้ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและญี่ปุ่นขยายกว้างขึ้น
ทั้งนี้ ค่าเงินเยนร่วงลงอย่างต่อเนื่อง แม้ทางการพยายามเข้าแทรกแซงตลาดในเดือนก.ย.ก็ตาม
วิน ทิน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ด้านสกุลเงินระดับโลกของบราวน์ บราเธอร์ส แฮร์ริแมน แอนด์ โค ระบุว่า “อย่าแปลกใจหากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เข้าแทรกแซงตลาดอีกครั้งในอีกไม่กี่วันข้างหน้า” โดย BOJ ดำเนินการแทรกแซงตลาดในนามของกระทรวงการคลัง
อย่างไรก็ดี เงินเยนพลิกกลับมาแตะที่ระดับ 149.90 เยนต่อดอลลาร์ ณ เวลา 09:02 น. ในลอนดอน
รัฐบาลญี่ปุ่นกล่าวว่า จะเข้าดำเนินการหากค่าเงินผันผวนรุนแรง โดยไม่ได้กำหนดเป้าหมายเอาไว้ที่ระดับใดโดยเฉพาะ แต่ 150 เยนถูกมองว่าเป็นระดับสำคัญทางจิตวิทยาในญี่ปุ่น โดยการร่วงทะลุระดับดังกล่าวอาจเพิ่มแรงกดดันภายให้ดำเนินมาตรการเพิ่มเติมภายในประเทศ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ต.ค. 65)
Tags: ค่าเงินเยน, ญี่ปุ่น, ธนาคารกลางญี่ปุ่น, เงินเยน"ธนาธร" บุก กสทช.ร่วมภาคประชาชน จับตา มติควบรวม ทรู-ดีแทค แสดงจุดยืนค้าน พร้อมชี้ทางออก แนะ รัฐเดินสายเจรจาหายักษ์ใหญ่โทรคมนาคมโลกเข้าเสียบแทน "เทเลนอร์" ดีกว่าปล่อยควบรวม ยกผลวิจัยกระทบผู้บริโภคแน่
วันที่ 20 ต.ค. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางมายังสำนักงาน กสทช. พร้อมด้วย ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคและ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เพื่อร่วมสังเกตการณ์การลงมติอนุมัติหรือไม่อนุมัติ ที่จะให้มีการควบรวมกิจการระหว่างทรู-ดีแทค หลังจากมีการเลื่อนลงมติมาหลายครั้ง
นายธนาธร ได้ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนก่อนการเข้าร่วมสังเกตการณ์ โดยระบุว่า วันนี้พวกเราทั้งพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า มาเพื่อแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วย กับการควบรวมทรู-ดีแทค เคียงข้างภาคประชาสังคมที่มาร่วมจับตาผลการลงมติ ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ ซึ่งมีงานวิจัยหลายชิ้นจากทั้งองค์กรภายนอก และที่ กสทช. จ้างศึกษาเอง รวมถึงกรณีที่เคยเกิดขึ้นในต่างประเทศหลายกรณี ชี้ให้เห็นว่า การควบรวมที่จะทำให้เหลือผู้เล่นในตลาดโทรคมนาคมเพียง 2 ราย จาก 3 ราย อาจทำให้ค่าบริการแพงขึ้น ไม่เป็นผลดีต่อผู้บริโภคและการพัฒนาภาคโทรคมนาคมในประเทศไทย นอกจากนี้ จากการที่ประชาชนที่รับส่งข้อมูลผ่านคลื่นความถี่โทรคมนาคมมีแต่จะเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนที่สุด คือ การเข้าถึงข้อมูลที่ลดลงจากค่าบริการที่แพงขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจที่น้อยลงของผู้มีรายได้น้อยด้วย
นายธนาธร ยังระบุด้วยว่า การควบรวมที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ แม้ส่วนหนึ่งมาจากการที่ บริษัท เทเลนอร์ มีมติให้บริษัทถอนตัวออกจากตลาดในประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมีเพียงการควบรวมเป็นทางเลือกเดียวเท่านั้น หากรัฐบาลเห็นว่า ธุรกิจโทรคมนาคมเป็นธุรกิจยุทธศาสตร์ รัฐบาลสามารถออกไปเจรจาต่อรองเพื่อหาผู้ซื้อรายใหม่มาแทนเทเลนอร์ หรือผลักดันให้เกิดการเจรจาซื้อหุ้นเทเลนอร์ได้ ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่า เป็นทางออกที่ดีที่สุด และเป็นเรื่องที่หลายรัฐบาลทั่วโลกต่างก็ทำในการแทรกแซงไม่ให้ภาคธุรกิจที่เป็นยุทธศาสตร์ของชาตินั้นๆ ต้องล่มสลาย
นายธนาธร กล่าวอีกว่า ดังนั้น มติ กสทช. วันนี้จึงมีความสำคัญสำหรับอนาคตของประเทศ ไม่ใช่แค่ในแง่รายจ่ายของผู้บริโภคเท่านั้น แต่รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างโทรคมนาคมและข้อมูลส่วนบุคคลของคนทั้งประเทศด้วย หากอนุมัติให้มีการควบรวมก็ต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดการฮั้วราคา บังคับให้มี MVNO (Mobile Virtual Network Operators - ผู้ให้บริการที่ไม่มีโครงข่ายของตัวเอง) หรือการคลายคลื่นความถี่บางส่วนออกมาให้เกิดการประมูลใหม่ แต่เพื่อป้องกันความเสียหายและการปกป้องผู้บริโภค การไม่อนุมัติให้เกิดการควบรวมจะเป็นการดีที่สุด
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าองค์กรทางธุรกิจมีเป้าหมายในการทำกำไรสูงสุด แต่ในกรณีมีผู้เล่นในตลาดเพียงสองเจ้า กำไรสูงสุดจะไม่ได้มาจากการแข่งขัน แต่จะมาจากการไม่ลดราคา ผมขอเรียกร้อง กสทช. ว่าอย่าเห็นแก่ประโยชน์ของกลุ่มทุน ถึงเอกชนจะมีสิทธิเสรีภาพในการประกอบธุรกิจก็จริง แต่ กสทช. ก็มีหน้าที่ดูแลไม่ให้เสรีภาพนั้นไปทำร้ายประชาชนให้มีต้นทุนการใช้ชีวิตที่สูงขึ้นด้วย” ธนาธรกล่าว
โดยภายหลังให้สัมภาษณ์เสร็จสิ้น นายธนาธร ได้เข้าร่วมพูดคุยกับ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรผู้บริโภค และเครือข่ายภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่มาร่วมกันจับตามติ กสทช. ในวันนี้ พร้อมให้กำลังใจ น.ส.สารี ซึ่งกำลังถูกดำเนินคดีจากการเอาเอกสารผลการศึกษาที่ กสทช. ว่าจ้างเอกชนต่างประเทศให้ศึกษาผลกระทบจากการควบรวม มาเปิดเผยต่อสาธารณะ พร้อมระบุว่า สิ่งที่ น.ส.สารีทำ เป็นเพียงการตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานภาครัฐและปกป้องประโยชน์ของประชาชนเท่านั้น และผลการศึกษาที่ใช้เงินจากภาษีประชาชนก็ไม่ได้เป็นความลับ และควรมีการเปิดเผยต่อสาธารณะตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะนี่คือพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยที่มีอารยะ
[unable to retrieve full-text content] เงินบาทผันผวน จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า-เงินเฟ้อเดือนม.ค.ของไทย ประชาชาติธุรกิจ ดูเรื่องราวจากท...