
#SET #ทันหุ้น - บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index มีแนวโน้มปรับลงต่อเนื่องหากรอบ 1,540+- จุด จากบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกที่เป็นลบจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯเกิด Recession จากเงินเฟ้อที่ยังคงสูงและดัชนีความเชื่อมั่นอยุ่ในระดับต่ำ ส่งผลให้ยังคงมีแรงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง เข้าถือพันธบัตรและทองคำมากขึ้น
ส่วนปัจจัยในประเทศกลุ่มพลังงานคาดเผชิญแรงขายหลังภาครัฐที่ขอความร่วมมือกลุ่มโรงกลั่นนำส่งกำไรค่าการกลั่นน้ำมันเบนซินดีเซล รวมถึงโรงแยกก๊าซเข้ากองทุนน้ำมันเป็นระยะเวลา 3 เดือน คาดเป็นเม็ดเงินกว่า 2 หมื่นลบ.เพื่อนำมาอุดหนุนให้ผู้บริโภค เรามอง Downside ของ SET Index รอบนี้ที่บริเวณ 1,500-1,520+- จุด และมองเป็นอีกระดับในการเข้าทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานและคาดหวังเศรษฐกิจที่จะทยอยเร่งตัวใน 2H22 เป็นต้นไป โดยยังเน้นหุ้นกลุ่ม Value และ Defensive Play ที่เกียวข้องกับสินค้าบริการจำเป็น กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Value และ Defensive Play ที่แนวโน้มกำไร 2Q22-2H22 แข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือนมิ.ย. : BCP, CK, CPALL, MAJOR, SAWAD
หุ้นเด่นวันนี้ : MEGA
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 67 บาท
• ธุรกิจของ MEGA ที่เป็นยาและวิตามินเป็นสินค้าจำเป็น ถูกกระทบจำกัดมากจากเงินเฟ้อสูง ยอดขายเดือน เม.ย.-พ.ค. ดีใกล้เคียง 1Q22 ซึ่งเป็นไตรมาสที่ดีมาก และยังได้ประโยชน์จากบาทอ่อนบางส่วน
• คาดกำไรปี 2022 แข็งแกร่ง +21% Y-Y ด้านฐานะการเงินมีหนี้น้อยมาก IBD/E อยู่ที่เพียง 0.02 เท่า กระทบจำกัดจากดอกเบี้ยขาขึ้น
• แนวรับ 51-50 บาท แนวต้าน 53//54-55 บาท
**บล.เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนีฯ มี Rebound ตอนเปิดแต่คาดดัชนีฯ ปิดลบ ตลาดกังวลทั้งการขึ้นดอกเบี้ยแรงของ Fed และ Recession โดยตลาดหุ้นวันนี้ ไร้ประเด็นใหม่ ๆ เข้ามาช่วยหนุนตลาด นักลงทุนยังมุ่งไปที่เรื่องของการดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งอาจจะใช้เวลาถึง 2-3 วันในการสะท้อนเรื่อง Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ย มากกว่าที่เคยคาดถึง 1.5% ทำให้ภาพตลาดดูเป็นลบต่อ
ธนาคารกลางต่าง ๆ เริ่มมีการทยอยออกมาปรับขึ้นดอกเบี้ย วานนี้ (สวิสฯ ไต้หวัน อังกฤษ) หุ้นที่ถูกกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ย คือหุ้นที่มีหนี้มาก หุ้นกลุ่มการเงินที่เป็น non-bank ราคาหุ้นเหล่านี้ ทยอยปรับตัวลงมาตั้งแต่เมื่อวาน
จับตาดูเงินทุนสำรองระหว่างประเทศวันนี้ (ล่าสุด 2.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) ว่ามีการปรับตัวลดลงหรือไม่ หากลดลงอาจจะมีการประชุมในวาระพิเศษถึงแม้ กนง.จะมีการออกมาแจ้งว่าจะไม่มีการประชุมในวาระพิเศษก็ตาม
สถานการณ์ยูเครน-รัสเซีย ยังทรง ๆ ขณะที่สหรัฐฯ จะยังมีการสนับสนุนในเรื่องขีปนาวุธให้กับยูเครนอย่างต่อเนื่อง
หุ้นที่นักลงทุนต่างชาติซื้อเยอะในช่วงที่ผ่านมา (PTTEP, KBANK, ADVANC, PTT) จะเป็นตัวถ่วง เมื่อนักลงทุนรับรู้เรื่องการขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงของไทยค่าเงินบาทอ่อนค่า (ล่าสุด 35.06 บาท/ดอลลาร์)
วันนี้จะมีการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ ชงปรับพื้นที่ Covid-19 เป็นสีเขียวทั้งประเทศ สามารถทำกิจกรรมได้ และมีการยกเลิก Thailand Pass รวมถึงอาจจะมีมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เรามองว่าหุ้นกลุ่มเปิดเมือง-ท่องเที่ยว อาจจะได้อานิสงค์จากข่าวนี้ (AOT, CENTEL)
ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ตัวเลขเงินเฟ้อยุโรป การประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น ตัวเลขยอดขายรถยนต์ของไทย และ FTSE จะมี re-balance หุ้นที่คำนวณดัชนีฯ
ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทย ยังอิงกับตลาดสหรัฐฯ (หุ้น+พันธบัตร) คาดตลาดยังปรับฐานไม่จบ โซนรับที่ดูแข็งแรง คือ 1520-1540 จุด
วันนี้ เราแนะเก็งกำไรตามข่าว โดยเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง ส่วนการเลือกขายหุ้นในพอร์ต นอกจากหุ้นที่มีกำไรแล้ว ควรเลือกขายหุ้นที่มีหนี้มากๆ ที่จะถูกกระทบจากทั้งเงินเฟ้อและต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
หุ้นในพอร์ตวันนี้เรา นำ KKP, JMT ออก และเพิ่ม CENTEL เข้ามาแทน หุ้นในพอร์ตประกอบด้วย CENTEL(10%), BLA*(10%), ASIAN(10%), EA(10%), BEM(10%), BGRIM(10%)
* เป็นหุ้นที่แนะนำโดย KTBST ยังไม่ได้จัดทำบทวิเคราะห์
CENTEL: (เป้าเชิงกลยุทธ์ 46.00 บาท) “ศบค. ประชุมวันนี้ พร้อมปรับมาตรการโควิด-แผนถอดหน้ากาก”
• ได้ประโยชน์จากการปรับมาตรการโควิด สธ. เตรียมปรับพื้นที่ทั่วประเทศเป็นโซนสีเขียว และเตรียมแผนถอดหน้ากาก (วันนี้มีการประชุม ศบค.) หนุน Sentiment กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม
• ตัวเลขนักท่องเที่ยวไทย 5 เดือนแรกแตะระดับ 1.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังยกเลิกมาตรการ Test & Go ในเดือน พ.ค. และหากไทยสามารถยกเลิกมาตรการ Thailand Pass ได้ทั้งปี นักท่องเที่ยวมีโอกาสเข้าเป้าที่ 10 ล้านคน
• KTBST ประเมินกำไรสุทธิปี 2022 ที่ 307 ลบ. พลิกจากขาดทุนในปีก่อน และประเมินกำไรปี 2023 ที่ 1.4 พัน ลบ. +369%YoY ตามลำดับ
Technical : GFPT, MGT
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด มองดัชนี SET หากไม่สามารถยืนบริเวณแนวรับ 1,560 มีโอกาสเกิดแรงขายลดพอร์ต โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,520 – 1,540 แนะนำ Wait & See และรอซื้อหุ้นกลุ่มหลักบริเวณแนวรับดังกล่าว
กลุ่มพลังงาน รัฐขอความร่วมมือให้โรงกลั่นน้ำมันนำส่งค่าการกลั่นส่วนเกินจากอัตราปกติเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำมาอุดหนุนราคาน้ำมันภายในประเทศเป็นเวลา 3 เดือน คาดว่าจะได้เงินประมาณ 6-7 พันล้านบาท/เดือน เป็นเวลา 3 เดือน (ก.ค.-ก.ย.65) โดยอุดหนุนน้ำมันดีเซล 5-6 พันล้านบาท/เดือน น้ำมันเบนซิน 1 พันล้านบาท/เดือน วันนี้คาดว่าข่าวดังกล่าวจะสร้าง Sentiment เชิงลบ ต่อหุ้นโรงกลั่นทั้ง 6 โรง ที่ต้องมีภาระในการร่วมกันส่งเงินราว 1.8-2.1 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามยังไม่มีความชัดเจนในการดำเนินการออกมากจากผู้ประกอบการ ซึ่งคาดว่ากลุ่มที่มีภาครัฐเป็นผู้ถือหุ้นอย่างกลุ่ม ปตท.(PTTGC TOP IRPC) และ BCP อาจเลือกแบ่งกันรับผิดชอบ และกลุ่มโรงกลั่นต่างชาติ ESSO SPRC อาจเลือกไม่ปฏิบัติตามก็ได้
ทั้งนี้ประเมินหากแบ่งกันจ่ายตามสัดส่วนการผลิตน่าจะกระทบต่อค่าการกลั่นของแต่ละบริษัทลดลงประมาณ 1-2$/bbl นอกจากนี้จะขอความร่วมมือจากโรงแยกก๊าซฯ ซึ่งจะมีกำไรจากส่วนเกินส่วนหนึ่งมา 50% เข้ากองทุนน้ำมัน ประมาณ 1.5 พันล้านบาท/เดือน ซึ่งเมื่อรวมผลกระทบจากโรงกลั่นที่เป็น บ.ลูกของ PTT คาดว่าจะกระทบต่อกำไรของ PTT ไม่เกิน 10% โดยสรุป แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนกลุ่มโรงกลั่นและ PTT ออกไปก่อน รวมถึงรอรายละเอียดที่ชัดเจน และหากราคาน้ำมันทรงตัวสูงไปจนถึงสิ้นปี ตลาดอาจจะกังวลถึงการต่ออายุมาตรการออกไปอีก
CENTEL (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus ที่ 45.13 บาท) หลังจากที่ภาครัฐเริ่มคลายมาตรการควบคุมโรค โดยกำหนดปรับลดสีพื้นที่ต่าง ๆ ลง และเริ่มคลายมาตรการสวมหน้ากากอนามัยในพื้นที่สาธารณะโล่งแจ้ง เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การปรับเป็นโรคทั่วไปในต้น ก.ค. ที่จะถึงนี้ ทำให้แนวโน้มผลประกอบการงวด 2Q65 มีโอกาสฟื้นตัวได้ต่อ โดยคาด Consensus คาด EPS งวดปี 2565 ฟื้นตัวอยู่ที่ราว 0.05 บาทต่อหุ้น ขณะที่ปี 2566 Consensus คาดฟื้นตัวต่อราว 1.08 บาทต่อหุ้น โดยคาดการณ์เงินปันผลปีนี้ราว 0.3 บาทต่อหุ้น
เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้ - TrueID News
Read More
No comments:
Post a Comment