
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.การคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “นโยบายพัฒนาตลาดทุนไทย กลไกการพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด-19” ในงานสัมมนาออนไลน์ แถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2565 ว่า กระทรวงการคลังได้วางแผนพัฒนาตลาดทุนไทยใน 5 ด้านสำคัญ พร้อมทั้งได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นเจ้าภาพร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำนโยบายดังกล่าวมาจัดทำเป็นแผนพัฒนาตลาดทุนไทยในช่วงปี 2565-2570 (5 ปี) โดยให้มีการบรรจุแผนพัฒนาฟินเทคเข้าไปด้วย เพื่อให้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะสนับสนุนและพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาตลาดทุนไทย
สำหรับแผนพัฒนาตลาดทุนไทย 5 ด้าน ได้แก่
1. การส่งเสริมการเข้าถึงการระดมทุนและสนับสนุนการระดมทุนผ่านกลไกตลาดทุนสำหรับผู้ระดมทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ธุรกิจที่ใช้โมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ, เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงอุตสาหกรรมเป้าหมาย 12 กลุ่ม บริษัทเทคโนโลยี เอสเอ็มอี หรือสตาร์ทอัพ ทั้งการลงทุนทางตรงและทางอ้อมผ่าานเวนเจอร์ แคปปิตอล
2. การเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย ผ่านการยกระดับมาตรฐานให้ทัดเทียมสากล รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์และบริการด้านการเงินการลงทุนที่น่าสนใจ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้ลงทุน
3. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับตลาดทุน โดยเน้นโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาตลาดทุน รวมทั้งปรับกระบวนการต่าง ๆ ของการทำธุรกรรมสู่ระบบอัตโนมัติ
4. การพัฒนาตลาดทุนที่ยั่งยืน โดยตลาดทุนไทยจะเป็นกลไกหลักและกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจจริงด้วยการนำแนวคิดในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) มาผนวกการดำเนินธุรกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
5. การสนับสนุนสุขภาพทางการเงินที่ดีของประชาชนในระยะยาว โดยเฉพาะวัยเกษียณให้มีความรู้ความเข้าใจทางการเงิน
“จากสถานการณ์ที่ผ่านมาสะท้อนชัดเจนว่าตลาดทุนไทยมีความแข็งแกร่ง ยืดหยุ่น แม้อยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนจากโควิด-19 และมีพัฒนาการที่รวดเร็วด้านดิจิทัล รวมทั้งยังได้แสดงบทบาทสำคัญทางด้านเศรษฐกิจ และมีการพัฒนา ยกระดับประสิทธิภาพการเป็นกลไกสำหรับเศรษฐกิจไทย ให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้นกลับมาเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ซึ่งรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงการคลังพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการยกระดับประสิทธิภาพตลาดทุนไทยอย่างเต็มที่ และหวังว่าทุกส่วนจะได้รับประโยชน์และสามารถเตรียมตัวคว้าโอกาส ก้าวข้ามความท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต” นายอาคม กล่าว
ทั้งนี้ ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 จนถึงปัจจุบัน ตลาดทุนไทยได้รับผลกระทบจากการหดตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดความผันผวน แต่ตลาดทุนไทยมีความยืดหยุ่นและปรับตัวได้ดี จนกลายเป็นเสาหลักในการช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ สะท้อนจากการเตบิโตอย่างต่อเนื่องของตลาดทุนไทย ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน คิดเป็น 1.2 เท่าของจีดีพี ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน คิดเป็น 0.9 เท่าของจีดีพี ผู้ลงทุนในตลาดมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีความหลากหลาย และสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้
สำหรับสภาวะตลาดทุนไทยได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่นเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ก็ฟื้นตัวได้เร็ว โดยดัชนีราคาหุ้นไทยในช่วงสิ้นปี 2564 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 50% จากจุดต่ำสุดในรอบ 8 ปี เมื่อเดือน มี.ค. 2563 และดัชนียังสูงกว่าระดับสิ้นปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 รวมถึงยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคอีกด้วย ขณะเดียวกัน พบว่ามีบริษัทเข้าเสนอขายหลักทรัพย์ 40 หลักทรัพย์ สูงสุดในรอบ 4 ปี มูลค่าเสนอขาย 1.37 แสนล้านบาท เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน รวมทั้งยังมีบริษัทที่ใช้ช่องทางการระดมทุนผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล 1 ราย มูลค่าเสนอขาย 2.4 พันล้านบาท และมีเอสเอ็มอีระดมทุนผ่านการเสนอขายหลักทรัพย์วงแคบ 11 บริษัท มูลค่า 90 ล้านบาท ผ่านคราวน์ฟันดิ้ง 140 บริษัท มูลค่าเสนอขาย 1.4 พันล้านบาท โดยมูลค่าการซื้อขายของตลาดทุนไทยยังสูงสุดในกลุ่มตลาดหุ้นอาเซียนติดต่อกันเป็นปีที่ 10 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากสิ้นปี 2563 ซึ่งผู้ลงทุนในประเทศมีการซื้อขายสูงที่สุด
ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนมีการเสนอขายระยะยาวเกิน 1 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% และระยะสั้น 6 แสนล้านบาท สะท้อนว่าบริษัทต่าง ๆ ยังสามารถระดมทุนผ่านตราสารหนี้ด้วยต้นทุนที่เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง ส่วนตราสารหนี้ภาครัฐนั้น คลังได้จำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง โดยสิ้นปี 2564 มีมูลค่า 3.02 หมื่นล้านบาท ส่วนการเสนอขายตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนของภาครัฐและเอกชน อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท โดยพบว่ามีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ไทย ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 1.4 แสนล้านบาท ผู้ลงทุนต่างชาติถือครองตราสารหนี้ไทย 1 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็น 6.8% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ ขณะที่มีผู้ลงทุนรายย่อยไทยมีการเปิดบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่ม 6 แสนบัญชี และเป็นกลุ่มหลักในการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริมและนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจ แต่ต้องไม่กระทบกับระบบการเงินของประเทศ เพราะราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น และยังมีพัฒนาการ รวมถึงเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงเป็นอีกเรื่องที่สำคัญและท้าทายในด้านการกำกับดูแลเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนให้เกิดการซื้อขายที่มีความปลอดภัย เป็นสากล และมีแนวทางส่งเสริมแบบสมดุล ซึ่งกระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการบรรเทาภาระภาษีสำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไปแล้ว และจะมีผลบังคับใช้ในเร็ววันนี้
คลัง กางแผน 5 ปี พัฒนาตลาดหุ้นไทย 5 ด้าน - Post Today
Read More
No comments:
Post a Comment