
วันเสาร์ ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.
ชาวบ้านร้องจ๊าก!
‘ก๊าซหุงต้ม’ขึ้น15บ./ถัง1เม.ย.นี้
ค่าไฟขึ้น16สต./หน่วยงวดพ.ค.
‘บิ๊กตู่’สั่งหามาตรการลดภาระปชช.
“ก๊าซหุงต้ม” ปรับขึ้นราคา 15 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ตั้งแต่ 1 เมษายน นี้ ขณะที่“ค่าเอฟที” ขึ้น 16 สตางค์/หน่วย งวดเดือนพฤษภาคม พร้อมกัดฟันตรึงดีเซล 30 บาทเต็มกำลังเงินกู้ถึงพฤษภาคมเตรียมช่วยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ และเพิ่มค่าก๊าซเป็น 100 บาทต่อ 3 เดือน “กระทรวงพลังงาน” กาง “แพ็คเกจ” ช่วยประชาชน ฝ่า “ก๊าซหุงต้ม-น้ำมัน-ค่าไฟ” ขยับขึ้นราคา ทางด้าน “นายกฯ” เรียกถกทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจสั่งเร่งหามาตรการแบ่งเบาภาระประชาชน
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 ที่กระทรวงพลังงานนำโดย นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน แถลงสถานการณ์ราคาพลังงาน และแผนรับมือ พร้อมเร่งรณรงค์ทุกภาคส่วน“รวมพลังคนไทย ลดใช้พลังงานหาร 2”หลังจากราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งในรอบ14ปีหลังเกิดวิกฤตสงครามยูเครน-รัสเซีย จนราคาน้ำมันดิบแตะ130 ดอลลาร์/บาร์เรลและดีเซลสิงคโปร์พุ่งสูงสุดเป็น 180 ดอลลาร์/บาร์เรล
โดย นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า รัฐบาลติดตามสถานการณ์ทุกวัน กระทรวงพลังงาน หารือรับ กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ฯ ว่าหากเหตุการณ์ ยืดเยื้อ ต่อเนื่องจากมีแผนงานรับมือเพิ่มเติมอย่างไร โดย เบื้องต้น เพื่อความมั่นคงพลังงาน จะเพิ่มสำรองน้ำมันทางกฎหมายเพิ่มขึ้นอีก ร้อยละ 1 โดยน้ำมันดิบจะเพิ่มเป็นร้อยละ 5 น้ำมันสำเร็จรูปจะเพิ่มเป็นร้อยละ 2 คาดจะมีผลอีก 1 สัปดาห์ ส่วนนี้จะทำให้มีต้นทุนสำรองเพิ่มขึ้น 2.4 หมื่นล้านบาท และจะมีผลต่อภาคประชาชนเป็นราคาน้ำมันราว 60 สตางค์/ลิตร ซึ่งจะช่วยให้มีปริมาณน้ำมันสำรอง เพิ่มขึ้นอีก 7 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถรักษาเสถียรภาพพลังงานได้โดยไม่กระทบกับการดำรงชีวิตของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี ) ก๊าซหุงต้ม ราคาปรับสูงขึ้นมาก ซึ่งในขณะนี้ได้บริหารจัดการให้ดีที่สุดทุกด้าน โดยในส่วนของน้ำมันดีเซล จะพยายามตรึงราคา 30 บาท/ลิตร ให้นานที่สุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โลกจะเป็นอย่างไร ในขณะที่เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาวะติดลบกว่า 2 หมื่นล้านบาท และมีกรอบเงินกู้สูงสุดอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนของดีเซลนั้น หากราคาน้ำมันดิบดูไบ อยู่ในเกณฑ์ 115 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ก็จะดูแลได้ไปจนถึงสิ้นเดือน พ.ค. ทางกองทุนฯก็ไม่สามารถดูแลได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการอื่นๆ เข้ามาดูแล
ในส่วนของก๊าซหุงต้ม หรือ แอลพีจี ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายนนี้ จำเป็นต้องขยับราคาขึ้น 1 บาท/กก. หรือ 15 บาท/ถัง ขนาด 15 กก. ปรับเป็น 333 บาท/ถัง จากปัจจุบัน 318 บาท/ถัง ที่ใช้อัตรานี้มายาวนานตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ครั้งแรก เดือนมีนาคม 2563 และแต่ละเดือนกองทุนฯต้องอุดหนุนราว 2 พันล้านบาทต่อเดือน ซึ่งราคาแอลพีจีต้นทุนที่แท้จริงขณะนี้อยู่ที่463บาทต่อถัง
ในส่วนของค่าไฟฟ้าในขณะนี้ ต้นทุนทุกด้านเพิ่มขึ้น และ ยังมีผลกระทบจากช่วงเปลี่ยนผ่านสัมปทานปิโตรเลียมเอราวัณ ในวันที่ 23 เมษายน 2565 ทยต้องนำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่ม ในขณะที่แอลเอ็นจี ราคาเพิ่มขึ้นเป็น40-80 เหรียญสหรัฐ/ล้านบีทียู ดังนั้นรัฐบาลจึงลดภาษีน้ำมันเตา-ดีเซล เพื่อผลิตไฟฟ้า เพื่อลดใช้แอลเอ็นจีให้ต่ำที่สุด อย่างไรก็ตามต้นทุนก็ยังสูงกว่าคาดการณ์ทำให้ค่าไฟฟ้าอัตโนมัติหรือเอฟทีงวดใหม่ เริ่ม พ.ค.-ส.ค. ต้นทุนค่าเอฟทีที่แท้จริงสูงกว่าประมาณการณ์เดิมที่คาดว่างวดนี้จะขึ้น 16 สตางค์ต่อหน่วย แต่รัฐบาลมีนโยบายว่าจะเข้ามาดูแลให้ค่าไฟฟ้าขึ้นในอัตราไม่เกิน คาดการณ์ 16 สตางค์ต่อหน่วย และขณะนี้กำลังพิจารณาจะช่วยเหลือประชาชน โดยหากรายใดใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน หรือราว 1,200 บาท/เดือน กลุ่มนี้ จะจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตราเดิมในงวดเอฟทีงวดแรก (ม.ค.-เม.ย.65 )
นอกจากนี้กำลังพิจารณาจะช่วยเหลือผู้เดือดร้อน กลุ่มเปราะบางเฉพาะกลุ่ม เน้นไปที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กลุ่มนี้ในส่วนผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีจะได้รับวงเงินอุดหนุนสำหรับการซื้อก๊าซฯ เพิ่มจาก 45 บาทเป็น 100 บาทในช่วงเวลา 3 เดือน และผู้ใช้จักรยานยนต์ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็จะได้รับเงินอุดหนุนสำหรับการซื้อน้ำมันกลุ่มเบนซิน โดยเงินในส่วนนี้ก็จะเป็นงบประมาณของรัฐในส่วนของงบกลางมาดูแล
“ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ราคาพลังงานแพง ยังไม่แน่ชัดว่าจะยืดเยื้อไปนานแค่ไหน เราจะตรึงดีเซล30 บาทให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบฯและเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และต้นทุนโดยรวมสูงขึ้นก็จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาแอลพีจี 1 บาท/กก. ค่าไฟฟ้าก็ต้องขยับขึ้น ซึ่งก็จะพยายามดูแลกลุ่มเปราะบาง โดยในส่วนของกลุ่มเบนซินคงดูแลได้เฉพาะผู้ใช้มอเตอร์ไซด์ที่ใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐเท่านั้น ในภาวะนี้เชิญชวนทุกคนร่วมประหยัดพลังงาน และยึดหลักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” รองนายกฯและรมว.พลังงาน กล่าว
นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในส่วนกลุ่มผู้ใช้น้ำมันเบนซิน กระทรวงพลังงาน พยายามหารือกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม โดยจะช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีจำนวน 13.5 ล้านคน โดยจะโฟกัสกลุ่มผู้ใช้รถจักยานยนต์ ซึ่งปัจจุบันพบว่าประชาชนที่จดทะเบียนรถจักรยานยนต์กับกรมขนส่งทางบกมีอยู่ 21 ล้านคัน โดยจึงต้องดูจำนวนรถกับจำนวนผู้ถือบัตรว่ามีปริมาณเท่าไหร่ โดยพยายามให้ออกมาเร็วที่สุด แล้วมาดูงบประมาณเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินดังกล่าว
ขณะที่ราคาไฟฟ้าต้องยอมรับว่าจะต้องปรับขึ้นแน่นอน ตามอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) แต่จะพยายามบริหารจัดการไม่ให้ขึ้นสูงมาก โดย กกพ.ได้ทำการบ้าน และพยายามทำให้อยู่ในกรอบเดิม ซึ่งมีแนวคิดจะช่วยประชาชนที่ใช้ไฟฟ้าระดับไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,200 บาทต่อเดือนให้อยู่ในราคาเดิม ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมหางบประมาณว่าจะต้องใช้เท่าไร
ด้านนายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. กล่าวว่า ยอมรับว่ามีความจำเป็นที่ต้องมีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที) งวดเดือนพ.ค.-ส.ค.2565 ขึ้นตามต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นเกินกว่าสมมติฐานที่ประมาณการราคาน้ำมันดิบไว้ไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลให้ค่าเอฟทีที่สะท้อนต้นทุนจริงเพิ่มขึ้นไปเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได 16.71 สตางค์/หน่วย อย่างไรก็ตาม กกพ. จะพยายามบริหารจัดหาเชื้อเพลิงอื่นที่มีต้นทุนถูกกว่าก๊าซมาผลิตไฟฟ้า เพื่อประคองค่าเอฟทีให้ปรับขึ้นไม่เกินกรอบที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนน้อยที่สุด
ส่วนนางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กรมได้มีการประสานไปยังโรงกลั่นทุกแห่ง ยืนยันมีแผนบริหารจัดหาปริมาณก๊าซธรรมชาติเพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ 66 วัน หรือประมาณ 2 เดือน แบ่งเป็นปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 5,686.44 ล้านลิตร และปริมาณน้ำมันสำเร็จรูป 1,703.61 ล้านลิตร รวมกับปริมาณนำเข้าน้ำมันของบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) 636 ล้านลิตร ขณะที่ปัจจุบันไทยมีความต้องการใช้น้ำมันดิบเฉลี่ย 123.25 ล้านบาร์เรล/วัน ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ย 119.88 ล้านลิตร/วัน
“กรมได้เตรียมมาตรการรองรับวิกฤตพลังงาน โดยได้ประสานผู้ค้าน้ำมัน เพื่อเตรียมประกาศเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย ให้ปริมาณน้ำมันดิบสำรองเพิ่มเป็น 5% จากเดิม 4% และน้ำมันสำเร็จรูปสำรองเพิ่มเป็น 2% จาก 1% ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นจากผู้ค้าน้ำมัน คาดว่าจะมีข้อสรุปภายใน 1 สัปดาห์ โดยยอมรับว่าการเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันทุก 1% ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศเพิ่มขึ้น 60 สตางค์/ลิตร”นางสาวนันธิกากล่าว
ขณะที่ นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า กรมฯได้เร่งบริหารจัดการในการเปลี่ยนผ่านการผลิตก๊าซฯแหล่งเอราวัณ ( G1/61) จากผู้รับสัมปทานรายเดิมสู่รายใหม่และเปลี่ยนแปลงระบบจากสัมปทานสู่ ระบบแบ่งปันผลผลิต ที่จะเริ่มในปลายเดือน เม.ย. 65 เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อย่างราบรื่นไม่ให้กระทบ การจัดหาก๊าซฯเพิ่มเติมจากแหล่งที่มีศักยภาพในประเทศ และแหล่งพัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ตลอดจนได้เร่งดำเนินการเปิดให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบที่ 24 บริเวณทะเลอ่าวไทย เพื่อนำทรัพยากรปิโตรเลียมมาใช้ประโยชน์ให้เต็มที่และเพิ่มโอกาสในการพบแหล่งปิโตรเลียมในประเทศ เป็นต้น
วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล หม่อมหลวงชโยทิต กฤดากร ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรียกถกด่วน ทีมที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจเพื่อติดตามสถานการณ์วิกฤตพลังงาน ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ว่า เป็นการหารือเพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานต่างๆ ด้านพลังงาน หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ดำเนินมาตรการ เพื่อลดภาระและบรรเทาผลกระทบของประชาชน โดยนายกรัฐมนตรีกำชับให้ทำงานให้เร็วขึ้น พร้อมกลับมารายงานให้ทราบ เนื่องจากสถานการณ์และราคาพลังงานในขณะนี้มีความผันผวนอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามวันนี้นายกรัฐมนตรียังไม่ได้สั่งให้จับตาเรื่องราคาสินค้าอะไรเพิ่มเติมเป็นพิเศษ
ชาวบ้านร้องจ๊าก! 'ก๊าซหุงต้ม'ขึ้น15บ./ถัง1เม.ย.นี้ ค่าไฟขึ้น16สต./หน่วยงวดพ.ค. - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Read More
No comments:
Post a Comment