ความหมายของคำว่า “หนี้” คือ เงินที่ติดค้างอยู่ที่จะต้องใช้คืน หรือจะเรียกอีกอย่างว่า หนี้สิน ซึ่งจะต้องมีทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ แม้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเรามักจะได้ยินคำว่า “หนี้สาธารณะ” เพิ่มขึ้นมาอย่างหนาหูมากขึ้น เพราะหนี้สาธารณะเกิดจากการกู้หนี้ยืมสินขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างเช่น รัฐบาลกู้เงินไปใช้จ่ายเพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังจากการแพร่ระบาดคลี่คลายแล้ว
ในปัจจุบันหลายคนคงไม่อยากให้รัฐบาลก่อหนี้สาธารณะเพิ่มมากขึ้น เพราะมองว่าจะเป็นการสร้างภาระแก่ประชาชน เนื่องจากต้องนำภาษีมาจ่ายคืนเงินกู้ที่ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะนี้ และยังถูกมองว่าหากหนี้สาธารณะเกินกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังหรืออยู่ที่ระดับ 60% ต่อจีดีพีแล้ว จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะสูญเสียเสถียรภาพทางการคลังและการเงินของประเทศ และจะทำให้ประเทศเกิดวิกฤติทางการเงินต่าง ๆ ตามมาได้
แต่โดยแท้จริงแล้วคำว่า หนี้ อาจไม่ได้ส่งผลเสียเพียงอย่างเดียว แต่บางครั้งยังสร้างประโยชน์ เพราะหากนำ หนี้ ที่ก่อนั้นมาสร้างเป็นมูลค่าเพิ่ม หรือ นำมาใช้ด้วยเหตุจำเป็นฉุกเฉิน ก็ย่อมสามารถทำได้ เหมือนกับในภาวะการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่บ่อนทำลายเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทก้อนแรก เพื่อเยียวยาผลกระทบ ใช้ในด้านการแพทย์ และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในยามที่เงินในกระเป๋ามีไม่เพียงพอ
การกู้เงินของรัฐบาล ทำได้หลากหลายช่องทาง เช่น กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ จากธนาคารพาณิชย์ และธนาคารกลาง , สถาบันการเงินต่างประเทศ รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์กรทางการเงินระหว่างประเทศต่างๆ เช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารพัฒนาเอเชีย(ADB) ธนาคารโลก (Worldbank) และ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น(ไจก้า) เป็นต้น

หากดูข้อมูลหนี้สาธารณะจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)ในช่วงที่ผ่านมา 10 ปีย้อนหลัง พบว่า หนี้สาธารณะเมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2554 หรือ ณ สิ้นเดือน ก.ย.2554 ได้มีมูลหนี้ 4.44 ล้านล้านบาท คิดเป็น 39.12% ต่อจีดีพี ซึ่งในเวลานั้นมูลค่าจีดีพีอยู่ที่ 11.3 ล้านล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2563 หรือ ณ สิ้นเดือนก.ย.2563 มูลค่าหนี้สาธารณะอยู่ที่ 7.84 ล้านล้านบาท คิดเป็น 49.35% ต่อจีดีพี และมีมูลค่าจีดีพีที่ 15.9 ล้านล้านบาท
โดยเฉพาะเริ่มต้นปี 2564 หนี้สาธารณะขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากได้กู้เงินเพื่อนำมาใช้กับโครงการและมาตรการต่อสู้กับโควิด-19 ตามพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท โดย ณ สิ้นเดือน มี.ค.2564 หนี้สาธารณะมี 8.47 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.28% ต่อจีดีพี เรียกว่าเข้าใกล้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ระดับเพดาน 60% แล้ว!!!
ดูเหมือนหนี้สาธารณะจะถึงระดับเพดานหนี้โดยใช้เวลาไม่นาน ล่าสุดราชกิจจานุเบกษา ได้ประกาศพ.ร.ก.เงินกู้เพิ่มเติมอีก 5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้บรรเทาผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสามอยู่ในขณะนี้ และดูเหมือนจะใช้เวลาจัดการควบคุมอยู่นานพอสมควร เนื่องจากระลอกสามเกิดขึ้นในหลายคลัสเตอร์และกระจายไปอย่างรวดเร็ว
มีหลายหน่วยงานที่ได้เห็นด้วยกับการออกพ.ร.ก.กู้เงินเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมาเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจรวมทั้งภาคธุรกิจในระยะข้างหน้า เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาได้อีกครั้ง แม้การกู้เงินเพิ่มครั้งนี้จะทำให้หนี้สาธารณะอยู่ระดับที่เกินเพดาน 60% ก็ตาม
สำหรับการกู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ 1.ให้กระทรวงสาธารณสุข วงเงิน 30,000 ล้านบาท นำไปใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยารักษาโรค วัคซีน ปรับปรุงสถานพยาบาลและการวิจัยพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดระลอกใหม่ 2.ให้กระทรวงการคลัง วงเงิน 300,000 ล้านบาท นำไปใช้ช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และ 3.ให้กระทรวงการคลังนำไปใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 170,000 ล้านบาท เพื่อรักษาระดับการจ้างงาน กระตุ้นการลงทุน และการบริโภคในประเทศ
ขณะที่ “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาดการณ์ว่า หนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 หรือ ณ สิ้นเดือน ก.ย.2564 จะอยู่ที่ราว 58.7-59.6% ต่อจีดีพี แม้ว่าระดับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณนี้จะยังไม่ถึง 60% แต่การกู้เงินเพิ่มเติมเป็นการเร่งระดับหนี้สาธารณะให้เข้าใกล้เพดานหนี้ที่ 60% ต่อจีดีพี เร็วกว่าที่เคยประเมิน ซึ่งจะส่งผลให้ภาครัฐจำเป็นต้องเตรียมขยายเพดานหนี้สาธารณะในระยะเวลาอันใกล้
ทั้งนี้ การขยายเพดานหนี้สาธารณะนั้นยังอยู่ในวิสัยทัศน์ที่สามารถทำได้ ขณะที่ระดับเพดานหนี้สาธารณะที่ 60% ต่อจีดีพี เป็นระดับตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่นิยมใช้ในหลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป อย่างไรก็ดี ระดับหนี้สาธารณะที่เหมาะสมของแต่ละประเทศนั้นไม่มีระดับที่ตายตัว และขึ้นอยู่กับบริบทและปัจจัยต่างๆ ที่แตกต่างกัน
ทำให้ในท้ายที่สุด แม้การกู้เงินจะทำให้ระดับหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นจนทะลุเพดานหนี้ 60% และเป็นภาระให้แก่ประชาชน เพราะต้องนำเงินภาษีมาจ่ายชดใช้หนี้คืน แต่ในเวลานี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ชีวิตความเป็นอยู่และปากท้องของประชาชน คงจะเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน หากไม่มีเงินมาเยียวยาแล้ว ประชาชนคงทุกข์ร้อนซ้ำเติมจากพิษโควิด-19 และสิ่งสำคัญ ประเทศไทยยังต้องการเงินจำนวนไม่น้อยในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงเวลาข้างหน้า เพื่อให้กลับมาเปิดประเทศได้อีกครั้ง!!!
เปิดสถิติหนี้สาธารณะไทย ท้าทายความยั่งยืนทางการคลัง - Businesstoday
Read More
No comments:
Post a Comment