ธุรกิจโรงแรมสุดสาหัส-เข้าพักแค่5%กังวลสภาพคล่องเหลือแค่มิ.ย.-อาจถึงขั้นปลดคน – นายกสมาคมโรงแรมไทยเผยสมาชิกเตรียมปิดกิจการ 80% อัตราเข้าพักทรุดเหลือ 5% หลังโควิดระลอก 3 ดับหวังไร้แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ขณะที่ก่อนหน้าร่วมสำรวจชีพจรเหลือเงินสภาพคล่องถึงแค่มิ.ย.นี้
นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยว่า จากการสอบถามสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการ เกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ในระลอกเดือนเม.ย.2564 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยลดลงจากเดือนมี.ค.ในอัตรา 30% เหลือเพียง 5% โรงแรมกว่า 80% ของสมาชิกอาจงดให้บริการจนถึงเดือนต.ค. จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง จนกว่ารัฐบาลจะกระจายวัคซีนฉีดจนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้
สมาคมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)สำรวจความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการเดือนมี.ค.2564ก่อนการระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 จำนวน 128 แห่งพบมีการเปิดกิจการ 48% เปิดให้บริการบางส่วน 41% และปิดกิจการ 11% โรงแรมขนาดใหญ่สายป่านยาวเท่านั้นที่ยังเปิดกิจการ ส่วนโรงแรมที่รับเฉพาะต่างชาติ ขณะนี้ปิดกิจการแล้วทั้งหมด ตลอดเดือนมี.ค.อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 20% ยกเว้นภาคตะวันออก (ชลบุรี)
มีอัตราการพักเฉลี่ยสูงกว่า ที่อัตรา 30% ส่วนอัตราการจองห้องพักในเดือนเม.ย. ยังเฉลี่ยอยู่ที่ 20% ยกเว้นจังหวัดท่องเที่ยวทางภาคใต้ มีอัตราการจองห้องพัก 30%
เมื่อสำรวจสภาพคล่องในเดือนมี.ค.ส่วนใหญ่มีสภาพคล่องดำเนินธุรกิจไม่เกิน 3 เดือน มีเงินจ่ายพนักงานแค่ถึงเดือนมิ.ย.นี้ ส่วนการจ้างงานเพียง 55% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และ 66% โดยโรงแรมในภาคใต้กลับมาสร้างงานน้อยสุดประมาณ 40% ของอัตราจ้างงานในช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 โดยนโยบายการจ้างงานส่วนใหญ่ยังคงเป็นการให้ลางานโดยไม่รับค่าจ้าง ในเดือนมี.ค.หลายโรงแรมเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว จากที่เคย
ปรับลดและปลดคนงานเพื่อลดต้นทุน
“จากการระบาดของโควิดระลอก 3 กระทบโรงแรมอย่างหนัก ซ้ำเติมสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่แล้ว สมาคมเตรียมสำรวจลมหายใจของโรงแรมอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรมเริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เริ่มเห็นสัญญาณการท่องเที่ยวที่จะกลับมา”
โดยคาดว่าการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะกลับมาเข้าสู่สภาวะปกติประมาณปี 2566 แต่หากไม่สามารถควบคุมการระบาดของระลอก 3 ได้ โอกาสที่โรงแรมจะฟื้นคืนชีพได้คงยาก และยืดเวลาออกไป
ธุรกิจโรงแรมสุดสาหัส-เข้าพักแค่5%กังวลสภาพคล่องเหลือแค่มิ.ย. - ข่าวสด
Read More
No comments:
Post a Comment