
บลจ.ทิสโก้ ประเมินกรอบดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีลุ้นแตะ 1,650 จุด ครึ่งปีแรกมอง 1,600 จุด โอกาสเห็นอัพไซต์ครึ่งปีหลังค่อนข้างสูง จากการกระจายวัคซีน-เปิดประเทศท่องเที่ยว แนะจับจังหวะเก็บหุ้น “ขนาดกลาง-เล็ก” และ “หุ้นใหญ่” เสริมพอร์ต
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน พร้อมด้วย นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวในงานแถลงข่าว “อัพเดทเทรนด์กองทุนหุ้นไทย” ว่า ปีนี้ประเมินกรอบดัชนีตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,600-1,650 จุด ภายใต้คาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 80 บาท อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไร(P/E) อยู่ที่ 20 เท่า เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยเริ่มอัพเกรดขึ้นมา ซึ่งมีเซนติเมนต์ดูดีกว่าที่คาด โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันราคาหุ้นไทยดีดตัวขึ้นมาแล้วกว่า 10% ดังนั้นถ้าการกระจายวัคซีนภายในประเทศทำได้ดี ช่วงครึ่งปีหลังเริ่มมีการเปิดประเทศท่องเที่ยวกันได้(Travel Bubble) จะส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวจากการที่ไทยเป็นเดสติเนชั่น ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นไทยจะได้รับสปอตไลท์เข้ามาอีกครั้งหนึ่ง
“ช่วงครึ่งปีแรกอาจจะมองดัชนีระดับเหมาะสมที่ 1,600 จุด และครึ่งปีหลังมีโอกาสปรับอัพไซต์เพิ่มขึ้นได้อีก โดยจะขึ้นอยู่กับการกระจายวัคซีนทำได้เร็วแค่ไหน รวมไปถึงการเปิดประเทศและการกลับเข้ามาลงทุนของต่างชาติด้วย”
โดยคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.) แม้ที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยจะถูกดาวน์เกรดลงมาโดยตลอด แต่คาดการณ์กำไรได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยมองธีมการลงทุนหุ้นกลุ่ม Value และหุ้นวัฏจักร จากความพร้อมของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งหุ้นบิ๊กแคป(Big Cap) ส่วนใหญ่จะเพอฟอร์มขึ้นจากการเปิดประเทศเดินทางท่องเที่ยวได้อีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน ยังเน้นเลือกหุ้นรายตัวเป็นหลัก แนะนำให้ลงทุนในหุ้นขนาดกลางเล็ก ในช่วงที่ทิศทางการลงทุนยังไม่มีทิศทางชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มพาณิชย์ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และกลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์ รวมถึงเลือกหุ้นใหญ่เข้ามาในพอร์ตเพิ่มเติมได้
“จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยยังไม่ไปไหน ทั้งในแง่ของดัชนีและกำไร เนื่องจากโครงสร้างตลาดหุ้นไทยไม่มีธุรกิจที่อยู่ใน New Economy ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วโลกต่อไป”
ทั้งนี้ในปี 63 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกและไทย ต่างได้รับผลกระทบโควิด-19 โดยปัจจัยลบดังกล่าวได้กดดันให้ดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET TRI) ติดลบราว 5.24% สาเหตุเพราะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ และมีสัดส่วนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤตดังกล่าวค่อนข้างน้อย อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาเดียวกันนี้ กองทุนหุ้นไทยของ บลจ.ทิสโก้ หลายกองทุนยังคงให้ผลตอบแทนเป็นบวกสวนทางกับตลาดโดยรวมได้
สำหรับกองทุนหุ้นไทยที่เป็นดาวเด่นของ บลจ.ทิสโก้ ในปีที่ผ่านมามี 2 กองทุน คือ
1.กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ ชนิดหน่วยลงทุน A (TSF-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มั่นคง และมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ดี กองทุนนี้มีจุดเด่นตรงที่เป็นกองทุนที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องกลยุทธ์การลงทุน สามารถลงทุนได้ทั้งหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก และปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นด้วยวิธี Bottom Up จากนั้นจึงวิเคราะห์และคัดสรรจนเหลือหุ้นที่จะลงทุนเพียง 10-15 ตัว โดยปีที่ผ่านมา สามารถทำผลตอบแทนได้ 18.3% มากกว่าดัชนี SET TRI ได้มากกว่า 23%
2.กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ ชนิดหน่วยลงทุน A (TISCOMS-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดไม่เกิน 80,000 ล้านบาท โดยผู้จัดการกองทุนจะใช้กลยุทธ์การเลือกหุ้นแบบ Bottom Up เป็นหลัก ประกอบกับใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณมาประยุกต์ในอีกทางหนึ่ง เพื่อเพิ่มโอกาสผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งในปี 63 กองทุน TISCOMS-A มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 14.1% มากกว่าดัชนี SET TRI ได้มากกว่า 19%
ทิสโก้ ชี้สิ้นปีดัชนี SET ลุ้นแตะ 1650 จุด จับจังหวะเก็บ 'หุ้นกลาง-เล็ก' เสริมพอร์ต - ประชาชาติธุรกิจ
Read More
No comments:
Post a Comment