‘ทิสโก้’ ชี้โควิดฉุดผลตอบแทนหุ้นไทย 63 ดิ่ง 5.24% ทิศทาง 64 ฟื้นตัวดีแต่แพง
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า จากการระบาดโควิด-19 ในปี 2563 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยปัจจัยดังกล่าวกดดันให้ดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET TRI) ติดลบกว่า 5.24% เนื่องจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไทย ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจ และมีสัดส่วนหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤตดังกล่าวค่อนข้างน้อย อาทิ หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ แต่แนวโน้มเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวได้ จึงประเมินเป้าดัชนีหุ้นไทยในสิ้นปี 2564 ที่ระดับ 1,600 จุด และมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนี หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีกว่าคาด ทำให้หากหุ้นไทยเกิดการปรับฐานอีกครั้ง ก็เป็นโอกาสในการปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้นได้
“ตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา แม้จะสามารถปรับระดับขึ้นมาได้ค่อนข้างดี แต่หากเทียบกับตลาดหุ้นหลักอื่นๆ ในโลก อาทิ สหรัฐ จีน พบว่าตลาดหุ้นไทยยังปรับระดับขึ้นมาได้ช้ากว่าตลาดหุ้นอื่นๆ สาเหตุเป็นเพราะประเภทธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเก่าที่กระจุกตัวอยู่ ไม่ได้มีอุตสาหกรรมใหม่เพิ่มเข้ามามากนัก รวมถึงยังมีผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 เหลืออยู่ด้วย แต่แม้หุ้นไทยจะยังปรับตัวขึ้นได้ไม่มาก หากเทียบกับตลาดต่างประเทศ แต่ในด้านมูลค่าหุ้น (แวลูเอชั่น) คือว่าปรับขึ้นมาอยู่ในระดับที่แพงมากแล้ว” นายสาห์รัชกล่าว
นายสาห์รัชกล่าวว่า ในภาวะปกติผู้ลงทุนจะแยกได้ยากว่า ผู้จัดการกองทุนไหนเก่งหรือไม่เก่ง เพราะไม่ว่าจะลงทุนกองทุนใดก็ดีไปหมด แต่ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนสูงกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเชิงรุก (Active Fund) จะโดดเด่นขึ้นมา เพราะผู้จัดการกองทุนสามารถปรับเปลี่ยนและใช้กลยุทธ์เลือกหุ้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งกองทุนหุ้นไทยของ บลจ.ทิสโก้ถือเป็นกองทุน Active Fund ทำให้ผลตอบแทนกองทุนหุ้นไทยในปีที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ฝีมือในการเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ สำหรับกองทุนหุ้นไทยที่เป็นดาวเด่นของ บลจ.ทิสโก้ ในปีที่ผ่านมา มี 2 กองทุน คือ 1.กองทุนเปิด ทิสโก้ สแตรทิจิก ฟันด์ ชนิดหน่วยลงทุน A (TSF-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มั่นคง และมีแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจที่ดี และ 2.กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ ชนิดหน่วยลงทุน A (TISCOMS-A) ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ไม่เกิน 80,000 ล้านบาท
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้บริหารสายงานจัดการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ปัจจัยบวกของหุ้นไทยในปีนี้ มาจากตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนหุ้นวัฏจักรเศรษฐกิจค่อนข้างมาก ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะได้ประโยชน์ในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว จึงมีส่วนเสริมให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยลบหลัก 2 เรื่อง ได้แก่ 1.การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่หากอัตราดอกเบี้ยมีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลลบต่อค่าเงินในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนลดลง และ 2.ปัจจัยในประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการกระจายวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ต้องจับตาว่า รัฐบาลจะดำเนินการได้ดีเพียงใด เพราะส่วนนี้จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต รวมถึงความตึงเครียดทางการเมืองที่ยังมีแรงกดดันอยู่ด้วย
นายสุพงศ์วรกล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้กองทุนหุ้นไทยของ บลจ.ทิสโก้ประสบความสำเร็จ มาจากกลยุทธ์การบริหารจัดการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง คือ 1.บริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม 2.ปรับกลยุทธ์ได้ทันสถานการณ์ลงทุน และ 3.การคัดเลือกหุ้นที่ดี โดยมีพื้นฐานมาจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของผู้จัดการกองทุน ทีมงาน รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของ บลจ.ทิสโก้ และผู้จัดการกองทุนจะพยายามลดเวลาที่ต้องใช้ระหว่างการวิเคราะห์ วางแผน และการตัดสินใจลงทุนซื้อขายให้รวดเร็วที่สุด
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่
'ทิสโก้' ชี้โควิดฉุดผลตอบแทนหุ้นไทย 63 ดิ่ง 5.24% ทิศทาง 64 ฟื้นตัวดีแต่แพง - มติชน
Read More
No comments:
Post a Comment