Rechercher dans ce blog

Wednesday, April 28, 2021

สศค.หั่นจีดีพีปีนี้เหลือโต 2.3% เซ่นโควิด หวังวัคซีนหนุนศก.ครึ่งปีหลัง - efinanceThai

   สศค.หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เหลือโต 2.3% จากเดิมคาด 2.8% หลังโควิดระบาดรอบใหม่รุนแรง กระทบกิจกรรมทางศก. - ท่องเที่ยว ลุ้นการกระจายตัววัคซีน ช่วยฟื้นศก.ไตรมาส 3-4 ปีนี้ แต่ยังมองส่งออก - นำเข้าสดใสช่วยพยุง ด้านศก.เดือนมี.ค.ยังขยายตัว รับส่งออก-ใช้จ่ายเอกชนหนุน  
 
   นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สศค.ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปีนี้ลงเหลือโต 2.3% จากเดิมคาดขยายตัวได้ 2.8% โดยมีปัจจัยลบสำคัญ คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย การเดินทางระหว่างประเทศ

   รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยสมมติฐานเศรษฐกิจล่าสุด สศค.ปรับลดจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศปีนี้ลงเหลือ 2 ล้านคน จากเดิมที่ 5 ล้านคน ขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศเหลือ 1.7 แสนล้านบาท จากเดิมคาด 2.6 แสนล้านบาท

   อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากมาตรการทางการคลังและการเงินที่ประเทศต่างๆดำเนินการ เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าของไทยมีแนวโน้มปรับดีขึ้น โดยสศค.ได้ปรับคาดการณ์ส่งออกของไทยปีนี้จะขยายตัวได้ 11% จากเดิมคาดโต 6.2% ด้านการนำเข้าปีนี้คาดจะเติบโต 18% จากเดิมคาดโต 7.8%

   ขณะที่การดำเนินมาตรการทางการคลังของภาครัฐ เช่น โครงการคนละครึ่ง โครการเราชนะ โครงการ ม.33เรารักกัน และมาตรการด้านการเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ประกอบกับการใช้จ่ายเงินกู้จากพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค ที่คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายในส่วนที่เหลือได้ต่อเนื่อง จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการบริโภค ประคับประคองธุรกิจ และรักษาระดับการจ้างงานให้สูงขึ้น

   ทั้งนี้ คาดว่า การบริโภคภาคเอกชน จะขยายตัวได้ 2.3% ด้านการลงทุนภาคเอกชนคาดขยายตัว 4.8% ขณะที่การบริโภคภาครัฐ คาดขยายตัวได้ 5% และการลงทุนภาครัฐคาดขยายตัวได้ 10.1% สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ คาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้จะอยู่ที่ 1.4% ปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวสูงขึ้น ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 0.4% ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 1.1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 0.2% ของจีดีพี

   นางสาวกุลยา กล่าวว่า สำหรับสมมติฐานเศรษฐกิจในครั้งนี้ สศค. คาดว่าเงินบาทเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 30.92 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปีนี้คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 60.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้น้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลก การดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของสหรัฐ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของระหว่างประเทศกลุ่ม OPEC และซาอุดิอาระเบีย

   สำหรับปัจจัยเสี่ยที่ต้องติดตาม คือ การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่มีความรุนแรงและยืดเยื้อ รวมถึงข้อจำกัดในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงติดตามปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศหากมีความรุนแรงขึ้น รวมถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายด้านพลังงาน และติดตามความผันผวนในระบบการเงินและเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศ

   ขณะที่ฐานะการคลัง ยังถือว่ามีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระทรวงการคลังพร้อมดำเนินมาตรการทางการคลังเพิ่มเติม ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยแรงขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ประกอบกับนโยบายการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่เน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการลงทุนด้านดิจิทัล และการยกระดับปรับทักษะแรงงาน จะมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป

   นางสาวกุลยา กล่าวว่า สำหรับการกระจายตัวของวัคซีน เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากจะเป็นตัวชี้วัดการกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หากประชาชนมีความมั่นใจ ดังนั้นการที่รัฐบาลให้ความสำคัญและมีการกระจายตัวมากขึ้นของวัคซีนจะเป็นผลบวกกับเศรษฐกิจไทย รวมถึงการกระจายตัวของวัคซีนในต่างประเทศด้วย ซึ่งจะเป็นผลบวกต่อนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเฉพาะในประเทศ หากวัคซีนกระจายตัวได้ดี จนถึงปลายปี เชื่อว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาได้ในไตรมาส 3-4 จะกลับมาขยายตัวได้ดีมากขึ้น

   นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษก สศค. กล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยในเดือนมี.ค. ขยายตัวได้ดี โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้า และการใช้จ่ายภาคเอกชน ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมสามารถกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี จำเป็นต้องติดตามผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นในเดือนเม.ย. ต่อไป

   สำหรับการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ ขยายตัว 15.2% ต่อปี สอดคล้องกับการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายอตัว 18.4% ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 48.5 จากระดับ 49.4 ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากภาครัฐประกาศงดกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงสงกรานต์

   รวมถึงผู้บริโภคยังมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ อย่างไรก็ดี มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐ ยังคงช่วยสนับสนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง ด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน โดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวต่อเนื่องที่ 14.8% ต่อปี

   ส่วนการส่งออกสินค้าในเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 24,222 ล้านดอลลาร์ หรือเติบโต 8.5% ต่อปี และหากไม่รวมน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย พบว่า ขยายตัวที่ 12% ต่อปี โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ สินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง สอดคล้องกับการส่งออกเม็ดพลาสติก เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ และเคมีภัณฑ์ ที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สินค้าเกษตรและอาหาร เช่น ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และอาหารสัตว์เลี้ยง

   นอกจากนี้ยังมี สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ โทรศัพท์และอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น และ สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์ และถุงมือยาง ที่ยังคงมีคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง

   ขณะที่ด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนมี.ค. มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) รวมถึงนักท่องเที่ยวกลุ่มสิทธิพิเศษ (Thailand Privilege Card) และนักธุรกิจ จำนวน 6,737 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกา เยอรมนี สหราชอาณาจักร และจีน เป็นต้น ในขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศ สะท้อนจากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยขยายตัว 71.5% ต่อปี

  ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ติดลบ 0.1% ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.1% ต่อปี ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนก.พ. อยู่ที่ 53.2% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมี.ค. อยู่ในระดับสูงที่ 245.5 พันล้านดอลลาร์

Let's block ads! (Why?)


สศค.หั่นจีดีพีปีนี้เหลือโต 2.3% เซ่นโควิด หวังวัคซีนหนุนศก.ครึ่งปีหลัง - efinanceThai
Read More

No comments:

Post a Comment

เงินบาทผันผวน จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า-เงินเฟ้อเดือนม.ค.ของไทย - ประชาชาติธุรกิจ

[unable to retrieve full-text content] เงินบาทผันผวน จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า-เงินเฟ้อเดือนม.ค.ของไทย    ประชาชาติธุรกิจ ดูเรื่องราวจากท...