Rechercher dans ce blog

Saturday, February 4, 2023

KBANK คาด “เงินบาท” สัปดาห์หน้า 32.70-33.50 บ./ดอลลาร์ จับตาเงินเฟ้อไทย - ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์

[unable to retrieve full-text content]

  1. KBANK คาด “เงินบาท” สัปดาห์หน้า 32.70-33.50 บ./ดอลลาร์ จับตาเงินเฟ้อไทย  ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์
  2. เงินบาทผันผวนก่อนจะอ่อนค่าลง ขณะที่หุ้นไทยขยับขึ้นต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน  ข่าวสด
  3. กสิกรไทยมองเงินบาทสัปดาห์หน้าที่ระดับ 32.70-33.50 บาทต่อดอลลาร์  ฐานเศรษฐกิจ
  4. 'กสิกรไทย' มอง "หุ้นไทย-เงินบาท" จับตาตัวเลขเงินเฟ้อ-ประกาศง  Thunhoon
  5. MONEY AND STOCK MARKET วันที่ 30 มกราคม-3 กุมภาพันธ์ 2566  กรุงเทพธุรกิจ
  6. ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News

KBANK คาด “เงินบาท” สัปดาห์หน้า 32.70-33.50 บ./ดอลลาร์ จับตาเงินเฟ้อไทย - ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์
Read More

Friday, February 3, 2023

ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งเกณฑ์ "บอร์ดโบรกฯ” ห้ามบริหารเกิน 5 แห่ง-ผจก.รับตำแหน่งเดียว - ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์

[unable to retrieve full-text content]

  1. ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งเกณฑ์ "บอร์ดโบรกฯ” ห้ามบริหารเกิน 5 แห่ง-ผจก.รับตำแหน่งเดียว  ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์
  2. ก.ล.ต.ปรับเกณฑ์เสนอขายหุ้น PPของบริษัทจดทะเบียน มีผล 1 ก.ค.66  ฐานเศรษฐกิจ
  3. ก.ล.ต.เคาะเกณฑ์คุณสมบัติบริษัทขอเสนอขาย IPO ต้องไม่เกี่ยวข้องธุรกิจผิดกฎหมาย  ผู้จัดการออนไลน์
  4. ก.ล.ต.เคาะเกณฑ์ บจ.ขาย IPO ย้ำห้ามข้องเกี่ยวธุรกิจผิดกม.  ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์
  5. ก.ล.ต. ออกประกาศปรับปรุงหลักเกณฑ์การเสนอขายหุ้น IPO  ฐานเศรษฐกิจ
  6. ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News

ก.ล.ต. เปิดเฮียริ่งเกณฑ์ "บอร์ดโบรกฯ” ห้ามบริหารเกิน 5 แห่ง-ผจก.รับตำแหน่งเดียว - ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์
Read More

Thursday, February 2, 2023

Ether เปิดตัวเทสต์เน็ตใหม่ Zhejiang ปูทางฮาร์ดฟอร์ก Shanghai เร็วๆ นี้ - efinanceThai

 

อีกไม่กี่อึดใจ!! Dev ของเครือข่าย Ethereum เปิดตัวเครือข่ายทดสอบใหม่!! Zhejiang เพื่อทดสอบการถอน ETH ที่ Stake นักพัฒนายัน!! การอัปเกรด Shanghai เป็นไปอย่างราบรื่น-ยังไม่พบปัญหาใดๆ

 

เมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่นประเทศไทย Barnabas Busa นักพัฒนาเครือข่ายของ Etherreum ประกาศผ่านทวิตเตอร์ของเขาว่า ได้เปิดตัวเครือข่ายทดสอบ (Testnet) ใหม่ที่ชื่อ Zhejiang เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

โดยเครือข่ายดังกล่าว เป็นขั้นตอนที่ให้นักพัฒนาและผู้ใช้งานทั่วไปทำการทดสอบว่าในขั้นตอนการถอน ETH ที่ทำการ Stake ไว้นั้นทำงานได้อย่างถูกต้องหรือไม่ โดยจะเป็นตัวทดสอบก่อนจะปล่อยฟีเจอร์ใหม่ที่จะมีการอัปเกรดในเร็วๆ นี้ที่รู้จักกันในชื่อ Shanghai (EIP - 4895)

 

ซึ่งการทดสอบดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญของการอัปเกรด Shanghai ที่กำลังจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ Marius Van Der Wijden นักพัฒนาของเครือข่าย Ethereum ได้เปิดตัวเครือข่าย Shadow Fork เมื่อเดือนที่แล้วเพื่อทดสอบการถอนเช่นเดียวกัน โดยระบุว่า การทดสอบความคืนหน้าในการอัปเกรดนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น พร้อมทั้งมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความล่าช้าอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม Busa ทวีตเพิ่มเติมว่า ในตอนนี้ผู้ใช้งานสามารถทดลองฝาก ETH ไปที่ตัวตรวจสอบความถูกต้องของเครือข่ายทดสอบ (Validator) ได้แล้ว แต่จำเป็นต้องรอหลังจากวันที่ 7 กุมภาพันธ์จึงจะทำการทดสอบการถอนได้

 

 

ที่มา : cryptonews  twitter

แปลโดย ธีรพัฒน์ บัวรี

 

 

Adblock test (Why?)


Ether เปิดตัวเทสต์เน็ตใหม่ Zhejiang ปูทางฮาร์ดฟอร์ก Shanghai เร็วๆ นี้ - efinanceThai
Read More

Wednesday, February 1, 2023

นักลงทุนเทน้ำหนัก 99.9% คาดเฟดประเดิมขึ้นดบ. 0.25% ครั้งแรกปี - อาร์วายที9

นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% หลังสิ้นสุดการประชุมนโยบายการเงินในคืนนี้ ซึ่งเป็นการประชุมนโยบายการเงินนัดแรกของเฟดในปีนี้

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 99.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมรอบนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2550 ส่วนอีก 0.1% คาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50%

นักลงทุนคาดการณ์ดังกล่าว หลังดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE), ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ต่างบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว

เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 7 ครั้งในปีที่แล้ว โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 1 ครั้ง, 0.50% จำนวน 2 ครั้ง และ 0.75% จำนวน 4 ครั้ง ส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4.25%

ทั้งนี้ เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีที่แล้วเพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังจากที่รัสเซียประกาศบุกโจมตียูเครนในวันที่ 24 ก.พ.2565 ทำให้สหรัฐและชาติตะวันตกออกมาตรการคว่ำบาตร ส่งผลให้ทั่วโลกเกิดการขาดแคลนพลังงานและอาหารอย่างหนัก และเป็นสาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นในรอบหลายสิบปี


Adblock test (Why?)


นักลงทุนเทน้ำหนัก 99.9% คาดเฟดประเดิมขึ้นดบ. 0.25% ครั้งแรกปี - อาร์วายที9
Read More

WHA Group ตั้งเป้ารายได้รวม 5 ปี 1 แสนลบ. อัดแผนลงทุน 6.85 หมื่นลบ. พร้อมเดินเครื่องสู่ Tech Company - Techsauce

 ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป (WHA Group) โชว์ผลงานโดดเด่น ปี 2565 พร้อมมองอนาคตสดใส โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยอัตราการเติบโตกว่าร้อยละ 30 งัด 5 กลยุทธ์ธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้รวม และส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ 5 ปี (2566-2570) ที่ 100,000 ล้านบาท 

WHA Group
พร้อมอัดฉีดงบลงทุนมูลค่า 6.85 หมื่นล้านบาทภายใน 5 ปี ขณะที่ยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA สูงกว่าร้อยละ 40 และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD) ต่ำกว่า 1.2 เท่า

ปี 2566 นี้ WHA Group ประกาศกลยุทธ์ธุรกิจไว้ 5 ข้อ ดังนี้

  • รักษาความเป็นที่หนึ่งในประเทศด้วยการครองอันดับหนึ่งในทุกธุรกิจขององค์กร
  • เร่งการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยเน้นที่ประเทศเวียดนาม
  • ใช้นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า
  • สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ โดยเน้นแนวคิดด้านความยั่งยืนเป็นหลัก
  • นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาไปสู่องค์กรที่เปี่ยมประสิทธิภาพ และมุ่งสู่การเป็น Technology Company 

นอกจากนี้ WHA Group ยังได้ริเริ่มภารกิจ “Mission to the Sun” ซึ่งประกอบด้วย 9 โครงการ ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ รวมถึงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และเสริมสร้างการพัฒนาองค์กร และบุคลากรของบริษัท โดยโครงการที่สำคัญ ได้แก่ Green Logistics, Digital Assets (Metaverse), Digital Health Tech, Circular เป็นต้น 

WHA Group

ภาพรวมความสำเร็จอันโดดเด่นในปี 2565

ในปีที่ผ่านมา ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ประสบความสำเร็จในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ตอกย้ำสถานะความเป็นผู้นำของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคและพลังงาน ตลอดจนดิจิทัลโซลูชัน ทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม

  • ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์


    ภายหลังจากการเปิดตัวโครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ เทพารักษ์ กม. 21 บนเนื้อที่รวม 400 ไร่ บริษัทฯ ได้มีการลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่ร้อยละ 68 ของเฟส 1 หรือ 130,000 ตารางเมตร กับลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายใหญ่หลายราย   ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) และผู้เช่าหลักรายอื่น ๆ ในภาคสินค้าอุปโภคบริโภค โดยในปี  2565 ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์มีการเปิดโครงการและลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/ คลังสินค้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น จำนวน 206,000 ตารางเมตร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ทำสัญญาเช่าระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมจำนวน 135,000 ตารางเมตร ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้การถือครองและบริหาร ทั้งหมด 2,720,000 ตารางเมตร.
  • ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์


    นอกเหนือจากการขายที่ดินขนาด 600 ไร่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ให้กับบีวายดีแล้ว ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 3 ของบริษัทฯ ในประเทศเวียดนาม ที่จังหวัดกว๋างนาม โดยมีขนาดพื้นที่ 2,500 ไร่ ตั้งเป้าดึงดูดอุตสาหกรรมการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงจากภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาทิ ยานยนต์ เครื่องกล ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ โดยตลอดปี 2565 บริษัทฯ มียอดขายที่ดินรวม 1,860 ไร่ (1,754 ไร่ในประเทศไทย และ 106 ไร่ในประเทศเวียดนาม) สูงกว่ายอดขายที่ดินรวมในปี 2564 ที่ 855  ไร่  หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 117.5
  • ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์

    บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญากับบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี (ประเทศไทย) เพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาที่จอดรถ ขนาดกำลังผลิตไฟฟ้า 7.7 เมกะวัตต์ บนพื้นที่รวม 32,200 ตารางเมตร ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 1 (WHA ESIE 1) ซึ่งนับเป็นการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดย ณ สิ้นปี 2565 บริษัทฯ มียอดจำหน่ายน้ำและบริหารน้ำรวม 145 ล้านลูกบาศก์เมตร และมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ตามสัดส่วนการถือหุ้นจำนวน 683 เมกะวัตต์
  • ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล


    ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้เปิดตัว WHAbit แอปพลิเคชันด้านเฮลธ์แคร์ เพื่อยกระดับการเข้าถึงบริการด้านการดูแลสุขภาพ และการแพทย์ทางไกล โดยประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลสมิติเวช ในปี 2565 บริษัทฯ เดินหน้าทรานสฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัลผ่านโครงการต่าง ๆ กว่า 32 โครงการเพื่อก้าวสู่การเป็น Technology Company 

 นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป และดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ ยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนประจำปี 2565 (THSI) ในฐานะ “Sustainable Stocks” อีกด้วย

คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปี 2565 เราได้เห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ มีการเซ็นสัญญาดีลใหญ่ ๆ และโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่มทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ทำให้เราสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งต่อไป” พร้อมเสริมว่า “ด้วยกลยุทธ์ธุรกิจของดับบลิวเอชเอ ทำให้เรามั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะสามารถก้าวไปสู่การเป็น Technology Company ภายในปี 2567 และมีการเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างแน่นอน”

ภาพรวมอนาคตที่สดใสของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป เพื่อก้าวสู่ Mission to the Sun

ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ 

ตั้งเป้าขยายธุรกิจในประเทศไทย และแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในเวียดนาม โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง การสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับหุ้นส่วนทางธุรกิจ โดยยึดถือแนวทางปฏิบัติที่นำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ และคำนึงถึงความยั่งยืน 

ในประเทศไทย ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ มีเป้าหมายในการตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า ในพื้นที่อันเป็นจุดยุทธศาสตร์ ได้แก่ กรุงเทพฯ บางนา-ตราด และจังหวัดต่างๆ ในเขตพื้นที่อีอีซี ตลอดจนขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ไปยังจังหวัดสำคัญๆ และพื้นที่ใกล้เคียงกับโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ   

นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ มีแผนที่จะสร้างการเติบโต โดยตั้งเป้าไปที่อุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า  ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และเฮลธ์แคร์ ผ่านการประสานความร่วมมือกับ Key Player ระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมทั้งการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ อาทิ Quantum Computing, Internet of Things (IOT), Data Analytics เป็นต้น 

สำหรับธุรกิจ Office Solutions ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ เดินหน้าขยายโครงการอาคารสำนักงานอีกหลายแห่งบนทำเลที่ดีเยี่ยมในกรุงเทพฯ โดยล่าสุด โครงการ WHA KW S25 คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม 2566 และเตรียมเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ปัจจุบัน ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ มีโครงการอาคารสำนักงานจำนวน 6 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ซึ่งมีพื้นที่รวมกว่า 100,000 ตารางเมตร เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและการออกแบบที่เหนือชั้น 

ในปี 2566 บริษัทฯ คาดว่าจะมีการส่งมอบโครงการใหม่และสัญญาใหม่ คิดเป็นพื้นที่รวม 200,000 ตารางเมตร (165,000 ตร.ม. ในประเทศไทยและ 35,000 ตร.ม. ในเวียดนาม) ให้แก่กลุ่มลูกค้า อาทิ ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) ภาคสินค้าอุปโภคบริโภค และภาคการค้าปลีก โดยคาดว่าสินทรัพย์รวมภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารจะสูงถึง 2,900,000 ตารางเมตร ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ ยังได้ตั้งเป้าขายสินทรัพย์พื้นที่ 142,000 ตารางเมตรให้แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) คาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 3,250 ล้านบาท

ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์

จะตอกย้ำความเป็นผู้นำในประเทศไทยและขยายธุรกิจในเวียดนามให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และเน้นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะเชิงนิเวศขั้นสูง และโครงการอุตสาหกรรมมูลค่าสูง สำหรับประเทศไทยและเวียดนาม ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ มีพื้นที่ในครอบครองทั้งหมด 71,000 ไร่ โดยมีพื้นที่พร้อมขายกว่า 4,000 ไร่ 

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ระหว่างดำเนินการในประเทศไทยจำนวน 12 แห่ง ซึ่งรวมถึงนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (1,280 ไร่) ที่ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2565 และยังมีนิคมอุตสาหกรรมใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง เฟส 1 (1,100 ไร่) ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 (2,400 ไร่) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2569 นอกจากนี้ ยังมีการขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (570 ไร่) และการขยายโครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (400 ไร่) 

นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ ยังขยายผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น อาทิ การจัดหาก๊าซไนโตรเจนโดย บริษัท บีไอจี ดับบลิวเอชเอ อินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ BIG WHA ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ บริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด หรือ บีไอจี ซึ่งปัจจุบันให้บริการที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) และจะขยายการให้บริการไปยังนิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมไปถึงก๊าซอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ ด้วย 

ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทฯ ได้ให้บริการไฟเบอร์ออพติคใต้ดิน (FTTx) ในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอในประเทศไทยจำนวน 11 แห่ง และให้บริการเช่าเสาโทรคมนาคมเพื่อติดตั้งอุปกรณ์รับ-กระจายสัญญาณเครือข่าย 5G ในนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่ง โดยคาดว่าจะขยายให้ครอบคลุมนิคมอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติมในปีนี้ เพื่อรองรับการใช้งานของกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคม ได้แก่ AWN, True และ Dtac 

สำหรับประเทศเวียดนาม มีเขตอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 1 แห่ง และจะขยายโครงการเขตอุตสาหกรรมใหม่ ในจังหวัดหลัก ๆ ของเวียดนาม อีก 2 โครงการ รวมพื้นที่ 20,950 ไร่ (3,350 เฮกตาร์) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง

โดยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โซน 1 - เหงะอาน ได้ดำเนินการก่อสร้างเฟส 1 ขนาด 900 ไร่ แล้วเสร็จ พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และการดูแลสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพสูงสุด และได้ปล่อยเช่าให้แก่ลูกค้าจากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ การแปรรูปอาหาร วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กว่าร้อยละ 77 ของพื้นที่เฟส 1 และด้วยสภาวะอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมสูง บริษัทฯ จึงเร่งดำเนินการก่อสร้างเฟสที่ 2 พื้นที่ขนาด 2,215 ไร่ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับทางการองค์กรท้องถิ่นของประเทศเวียดนามเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่ง อันได้แก่ เขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone - Thanh Hoa พื้นที่ 5,320 ไร่ ซึ่งจังหวัดทัญฮว้า เป็นจังหวัดที่มีประชากรกว่า 3.6 ล้านคน มากเป็นอันดับสามของเวียดนาม มีกำหนดเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2567 หรือต้นปี 2568 และเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone – Quang Nam พื้นที่ 2,500 ไร่ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางของภาคกลางอย่างจังหวัดดานังและจังหวัดกว๋างหงาย โดยคาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตต่างๆ ในปี 2569 หรือ 2570 และจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างหลังจากนั้น

จากความสำเร็จของยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามในปี 2565 ที่สูงถึง 1,740 ไร่ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2564 และด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อดับบลิวแอชเอ กรุ๊ปบริษัทฯ จึงคาดว่ายอดขายที่ดินในปี 2566 ทั้งในประเทศไทย และเวียดนามจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดิน ไว้ที่ 1,750 ไร่ 

WHAUP มุ่งต่อยอดธุรกิจสาธารณูปโภคให้เติบโตต่อเนื่อง

ในส่วนธุรกิจสาธารณูปโภค ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) มุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม โดยในปี 2565 บริษัทฯ มีการจัดการน้ำประปาและน้ำเสียสูงถึง 145 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งรวมปริมาณน้ำอุตสาหกรรมและการบำบัดน้ำเสียในประเทศเวียดนามจำนวน 28 ล้านลูกบาศก์เมตร และน้ำมูลค่าเพิ่ม (Premium Clarified Water and Demineralized Water) จำนวน 5 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยในปี 2566 ปริมาณน้ำประปาและการจัดการน้ำเสียทั้งหมดคาดว่าจะสูงถึง 168 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเพิ่มจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นจากผู้ใช้อุตสาหกรรมรายใหญ่ ที่ได้ทำการเซ็นสัญญาซื้อขายน้ำในปี 2565  คิดเป็นปริมาณน้ำรวมทั้งสิ้น 15 ล้านลูกบาศก์เมตร 

และจากการที่บริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินการโรงผลิตน้ำมูลค่าเพิ่ม 2 แห่ง เพื่อจัดส่งน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ของกัลฟ์ 2 ราย และน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) ให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย โดยมีกำลังการผลิตน้ำรวม 4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี 

นอกจากนี้ โรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยมีกำลังการผลิตรวม 3.3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และจะเริ่มก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 โดยมีกำลังการผลิตรวม 5.8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี 

WHAUP มีโครงการเพื่อจัดหาน้ำดิบทดแทนเพื่อความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำถึง 2 โครงการ กำลังการผลิตน้ำรวม 10 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยโครงการน้ำดิบแห่งแรกมีขึ้นเพื่อรองรับนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนโครงการที่สองในนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE4) จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 1 ปี 2566

ทั้งนี้ ในส่วนของธุรกิจสาธารณูปโภคของ WHAUP ในประเทศเวียดนาม ซึ่งให้บริการอยู่ 3 โครงการนั้น มีการเติบโตของการจัดการน้ำประปาและน้ำเสียอย่างมีนัยสำคัญที่ร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับปี 2565 หรือเท่ากับ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร เนื่องมาจากการขยายฐานลูกค้าและพื้นที่ให้บริการน้ำประปาที่กว้างขึ้น และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเป็น 33 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2566

สำหรับธุรกิจด้านพลังงาน WHAUP มุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจในประเทศไทย เวียดนาม และสำรวจหาตลาดใหม่ในประเทศอื่นๆ บริษัทฯ มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ กับธุรกิจ New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ไฮโดรเจน การซื้อขายคาร์บอนและการใช้และกักเก็บคาร์บอน (CCUS)

ในปี 2566 WHAUP ตั้งเป้าสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว 847 เมกะวัตต์ เพิ่มจาก 683 เมกะวัตต์ในปี 2565 ซึ่งประกอบไปด้วยพลังงานสิ้นเปลือง (Conventional Power) 547 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ 133 เมกะวัตต์ และพลังงานจากขยะอุตสาหกรรม (Waste to Energy) อีก 3 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเร่งเดินหน้าพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว 300 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปี 2566 อีกด้วย  

พัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นโซลูชันดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ WHAUP ได้ร่วมกับ ปตท. และ Sertis พัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading โดยมีชื่อว่า Renewable Energy Exchange ("RENEX") ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการทำธุรกรรม และอำนวยความสะดวกในการซื้อขายพลังงานของผู้ใช้ในอุตสาหกรรม  

โครงการดังกล่าวได้มีการเปิดตัวในปี 2565 และมีลูกค้าชั้นนำกลุ่มแรกเข้าร่วมจำนวน 54 ราย ซึ่งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่งของดับบลิวเอชเอ ได้แก่ WHA ESIE 1, WHA ESIE 2 และ ESIE นอกจากนี้ WHAUP ยังตั้งเป้าที่จะศึกษาและพัฒนาให้สามารถเกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในแพลตฟอร์มดังกล่าวได้อีกด้วย โดยเบื้องต้นได้ลงทะเบียนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ กับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) และ I-REC หรือใบรับรองสีเขียวที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งได้รับการตรวจสอบและรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน I-REC

ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล 

จะยังคงเป็นผู้นำโครงการการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลภายในองค์กร ช่วยสร้างเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ประสิทธิภาพ การเข้าถึง และความปลอดภัยด้านดิจิทัล นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จะทำงานร่วมกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในการนำเทคโนโลยีมาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและดึงดูดลูกค้ารายใหม่ ตัวอย่างเช่น แดชบอร์ดตรวจสอบแผงพลังงานแสงอาทิตย์และอุปกรณ์ตรวจจับประสิทธิภาพ เครื่องมือวิเคราะห์ ระบบอัตโนมัติ และอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ เป็นต้น

วางแผนที่จะเปิดตัว Meta W เมตาเวิร์สด้านอุตสาหกรรมรายแรก

ภายหลังจากการเปิดตัวในปี 2565 แอปพลิเคชัน WHAbit หรือโซลูชันสำหรับดิจิทัลเฮลธ์แคร์ ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและกำหนดเปิดตัวเวอร์ชันที่สองในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ด้วยฟีเจอร์การแสดงข้อมูลด้วยภาพ (Data Visualization) และคำแนะนำส่วนบุคคล นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังวางแผนที่จะเปิดตัว Meta W ซึ่งเป็นเมตาเวิร์สด้านอุตสาหกรรมรายแรกที่ได้รับการออกแบบเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า สร้างโอกาสใหม่ ๆ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ในยุคดิจิทัล 

ทั้งนี้ Meta W จะนำเสนอ Digital Twin โดยลูกค้าสามารถเข้าไปสัมผัส และมีประสบการณ์เสมือนจริงทั้งในรูปแบบของกิจกรรม การดำเนินงาน โมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ และการตรวจเช็คข้อมูลต่าง ๆ และในอนาคต ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล มีแผนที่จะขยายผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทฯ เพื่อนำเสนอแก่ลูกค้าทั้งภายในและภายนอกระบบนิเวศของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป

ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป วางงบลงทุน 6.85 หมื่นล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2566-2570) โดยเป็นงบลงทุนสำหรับ 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้แก่ โลจิสติกส์ จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำนวน 2.9 หมื่นล้านบาท WHAUP จำนวน 1.85 หมื่นล้านบาท และดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จำนวน 4 พันล้านบาท 

ทางด้านคุณจรีพร กล่าวทิ้งท้ายว่า เรามองอนาคตปี 2566 ด้วยความมั่นใจในเชิงบวก พร้อมเสริมว่า “ในขณะที่ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปกำลังก้าวเข้าใกล้การเป็น Technology Company มากขึ้น เราก็ยังคงส่งเสริมนวัตกรรมต่าง ๆ ให้กับทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยที่ยังเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ทั้งนี้ เราได้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 และมุ่งมั่นสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปีพ.ศ. 2593  (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดของดับบลิวเอชเอ รวมถึงลูกค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น พันธมิตรทางธุรกิจ และท้ายที่สุดคือสังคมไทยโดยรวม

Adblock test (Why?)


WHA Group ตั้งเป้ารายได้รวม 5 ปี 1 แสนลบ. อัดแผนลงทุน 6.85 หมื่นลบ. พร้อมเดินเครื่องสู่ Tech Company - Techsauce
Read More

WHA ประกาศทุ่มลงทุน 6.85 หมื่นล้านใน 5 ปีดันรายรวมทะลุแสนล้านตรึง EBITDA เหนือ 40% : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป (WHA) ประกาศงัด 5 กลยุทธ์ธุรกิจสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตั้งเป้ารายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานปกติ 5 ปี (66-70) ที่ 100,000 ล้านบาท พร้อมอัดฉีดงบลงทุนมูลค่า 6.85 หมื่นล้านบาทใน 5 ปี ขณะที่ยังคงรักษาอัตรากำไร EBITDA สูงกว่า 40% และอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (IBD) ต่ำกว่า 1.2 เท่า

ในปี 66 นี้ WHA ประกาศกลยุทธ์ธุรกิจ 5 ข้อ

– รักษาความเป็นที่หนึ่งในประเทศด้วยการครองอันดับหนึ่งในทุกธุรกิจขององค์กร

– เร่งขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เน้นเวียดนาม

– ใช้นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า

– สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ โดยเน้นแนวคิดด้านความยั่งยืนเป็นหลัก

– นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาไปสู่องค์กรที่เปี่ยมประสิทธิภาพ และมุ่งสู่การเป็น Technology Company

นอกจากนี้ ยังริเริ่มภารกิจ “Mission to the Sun” 9 โครงการ เป้าหมายสร้างผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ รวมถึงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และเสริมสร้างการพัฒนาองค์กร และบุคลากรของบริษัท โดยโครงการที่สำคัญ ได้แก่ Green Logistics, Digital Assets (Metaverse), Digital Health Tech, Circular เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ WHA วางงบลงทุน 6.85 หมื่นล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 66-70) โดยเป็นงบลงทุนสำหรับ 4 กลุ่มธุรกิจของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ได้แก่ โลจิสติกส์ จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จำนวน 2.9 หมื่นล้านบาท WHAUP จำนวน 1.85 หมื่นล้านบาท และดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จำนวน 4 พันล้านบาท

*ภาพรวมอนาคตของ WHA

-ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ ตั้งเป้าขยายธุรกิจในไทย และแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในเวียดนาม มุ่งเน้นอุตสาหกรรมเติบโตสูง การสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับหุ้นส่วนธุรกิจ นำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ และคำนึงถึงความยั่งยืน ส่วนในไทยมีเป้าตอบโจทย์ความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้าในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ได้แก่ กรุงเทพฯ บางนา-ตราด และจังหวัดต่างๆ ในเขตอีอีซี ตลอดจนขยายขอบเขตทางภูมิศาสตร์ไปยังจังหวัดสำคัญ และพื้นที่ใกล้เคียงกับโครงการที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ

ผลิตภัณฑ์ของดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ มีความหลากหลาย ทั้งอาคารคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit คลังสินค้าทั่วไป ไปจนถึงคลังสินค้าขนาดเล็ก ตอบโจทย์ทุกขนาดองค์กร นอกจากนี้ มีแผนสร้างการเติบโต ตั้งเป้าอุตสาหกรรมเติบโตสูง ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า อีคอมเมิร์ซ และเฮลธ์แคร์ ผ่านความร่วมมือกับ Key Player ระดับภูมิภาคและระดับโลก รวมทั้งนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาใช้ อาทิ Quantum Computing, Internet of Things (IOT), Data Analytics เป็นต้น

สำหรับธุรกิจ Office Solutions ได้เดินหน้าขยายโครงการอาคารสำนักงานอีกหลายแห่งบนทำเลที่ดีเยี่ยมในกรุงเทพฯ โดยล่าสุด โครงการ WHA KW S25 คาดว่าจะแล้วเสร็จใน ก.ค.66 และเตรียมเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ปัจจุบัน มีโครงการอาคารสำนักงาน 6 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และสมุทรปราการ พื้นที่รวมกว่า 100,000 ตารางเมตร

ในปี 66 คาดว่าจะส่งมอบโครงการใหม่และสัญญาใหม่รวม 200,000 ตารางเมตร (165,000 ตร.ม.ในไทยและ 35,000 ตร.ม. ในเวียดนาม) ให้แก่กลุ่มลูกค้า อาทิ ผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3PL) ภาคสินค้าอุปโภคบริโภค และภาคการค้าปลีก คาดว่าสินทรัพย์รวมภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารจะสูงถึง 2,900,000 ตารางเมตร

ทั้งนี้ ดับบลิวเอชเอ โลจิสติกส์ ยังได้ตั้งเป้าขายสินทรัพย์พื้นที่ 142,000 ตารางเมตรให้แก่ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) คาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 3,250 ล้านบาท

– บมจ.ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล ดีเวลลอปเมนท์ จะตอกย้ำความเป็นผู้นำในประเทศไทยและขยายธุรกิจในเวียดนามให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และเน้นนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะเชิงนิเวศขั้นสูง และโครงการอุตสาหกรรมมูลค่าสูง สำหรับประเทศไทยและเวียดนาม มีพื้นที่ในครอบครองทั้งหมด 71,000 ไร่ พื้นที่พร้อมขายกว่า 4,000 ไร่

ปัจจุบัน มีนิคมอุตสาหกรรมในไทย 12 แห่ง รวมถึงนิคมฯ ดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (1,280 ไร่) ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 65 และยังมีนิคมฯใหม่อีก 2 แห่ง ได้แก่ นิคมฯ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง เฟส 1 (1,100 ไร่) เริ่มก่อสร้าง ต.ค.65 และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 (2,400 ไร่) คาดเริ่มก่อสร้างปี 69 นอกจากนี้ ยังขยายนิคมฯอีก 2 โครงการ ได้แก่ นิคมฯดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (570 ไร่) และนิคมฯ ดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 (400 ไร่)

นอกจากนี้ ยังขยายผลิตภัณฑ์และบริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น อาทิ การจัดหาก๊าซไนโตรเจนโดย บริษัท บีไอจี ดับบลิวเอชเอ อินดัสเทรียลแก๊ส ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ BIG ปัจจุบันให้บริการที่นิคมฯอีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง) และจะขยายไปยังนิคมฯอื่น ๆ รวมถึงก๊าซอุตสาหกรรมประเภทอื่น ๆ ด้วย

ทั้งนี้ ในปี 66 บริษัทได้ให้บริการไฟเบอร์ออพติคใต้ดิน (FTTx) ในนิคมฯของ WHA ในไทย 11 แห่ง และให้บริการเช่าเสาโทรคมนาคมเพื่อติดตั้งอุปกรณ์รับ-กระจายสัญญาณเครือข่าย 5G ในนิคมฯ 3 แห่ง คาดว่าจะขยายให้ครอบคลุมนิคมฯอื่นๆ เพิ่มเติมในปีนี้เพื่อรองรับการใช้งานของกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคม ได้แก่ AWN, True และ Dtac

สำหรับเวียดนาม มีเขตอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 1 แห่ง และจะขยายไปในจังหวัดหลัก ๆ ของเวียดนาม อีก 2 โครงการ รวมพื้นที่ 20,950 ไร่ (3,350 เฮกตาร์) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง โดยเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โซน 1 – เหงะอาน สร้างเฟส 1 ขนาด 900 ไร่ แล้วเสร็จ และปล่อยเช่าให้แก่ลูกค้าจากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ แปรรูปอาหาร วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กว่า 77% แล้ว และด้วยความต้องการที่ดินอุตสาหกรรมสูงบริษัทจึงเร่งก่อสร้างเฟสที่ 2 พื้นที่ขนาด 2,215 ไร่

นอกจากนี้ ยังได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงกับองค์กรท้องถิ่นของเวียดนามเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมอีก 2 แห่ง อันได้แก่ เขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone – Thanh Hoa พื้นที่ 5,320 ไร่ ซึ่งจังหวัดทัญฮว้าที่มีประชากรกว่า 3.6 ล้านคน มากเป็นอันดับ 3 ของเวียดนาม จะเริ่มก่อสร้างในปี 67 หรือต้นปี 68 และเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone – Quang Nam พื้นที่ 2,500 ไร่ อยู่ใจกลางของภาคกลาง คาดว่าจะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตในปี 69 หรือ 70 ก่อนเริ่มก่อสร้าง

จากความสำเร็จของยอดขายที่ดินทั้งในประเทศไทยและเวียดนามในปี 2565 ที่สูงถึง 1,740 ไร่ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 64 และด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุน บริษัทจึงคาดว่ายอดขายที่ดินในปี 66 ทั้งในไทยและเวียดนามจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินไว้ที่ 1,750 ไร่

– บมจ.ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ (WHAUP) มุ่งต่อยอดธุรกิจสาธารณูปโภคให้เติบโตต่อเนื่องทั้งภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรมทั้งในไทยและเวียดนาม ชูโซลูชันนวัตกรรมและความยั่งยืน

ในส่วนธุรกิจสาธารณูปโภค WHAUP มุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม ในปี 66 ปริมาณน้ำประปาและการจัดการน้ำเสียทั้งหมดคาดว่าจะสูงถึง 168 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนใหญ่มาจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มมากขึ้นจากผู้ใช้อุตสาหกรรมรายใหญ่ ที่เซ็นสัญญาไว้ในปีก่อน คิดเป็นปริมาณน้ำรวมทั้งสิ้น 15 ล้าน ลบ.ม. และจากการที่บริษัทเริ่มดำเนินการโรงผลิตน้ำมูลค่าเพิ่ม 2 แห่งเพื่อจัดส่งน้ำอุตสาหกรรมคุณภาพสูง (Premium Clarified Water) ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ของกัลฟ์ 2 ราย และน้ำปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) ให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย โดยมีกำลังการผลิตน้ำรวม 4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

นอกจากนี้ โรงผลิตน้ำและโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ในนิคมฯ ดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 เริ่มดำเนินการแล้ว โดยมีกำลังการผลิตรวม 3.3 ล้าน ลบ.ม./ปี และจะเริ่มก่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียแห่งใหม่ที่นิคมฯดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง (WHA IER) ในเดือน ก.พ.66 โดยมีกำลังการผลิตรวม 5.8 ล้าน ลบ.ม./ปี

WHAUP มีโครงการเพื่อจัดหาน้ำดิบทดแทนเพื่อความมั่นคงด้านการจัดหาน้ำถึง 2 โครงการ กำลังการผลิตน้ำรวม 10 ล้าน ลบ.ม./ปี โดยโครงการน้ำดิบแห่งแรกมีขึ้นเพื่อรองรับนิคมฯ ดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 และเขตประกอบการอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว ส่วนโครงการที่สองในนิคมฯดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4 (WHA ESIE4) จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 1/66

ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภคของ WHAUP ในเวียดนาม ให้บริการอยู่ 3 โครงการนั้น มีการเติบโตของการจัดการน้ำประปาและน้ำเสียอย่างมีนัยสำคัญที่ 26% เมื่อเทียบกับปี 65 หรือเท่ากับ 28 ล้าน ลบ.ม. เนื่องมาจากการขยายฐานลูกค้าและพื้นที่ให้บริการน้ำประปาที่กว้างขึ้น และคาดว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเป็น 33 ล้าน ลบ.ม.ในปี 66

ธุรกิจด้านพลังงาน WHAUP มุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจในไทย เวียดนาม และสำรวจหาตลาดใหม่ในประเทศอื่นๆ บริษัทฯ มุ่งเน้นการนำนวัตกรรมและความยั่งยืนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ กับธุรกิจ New S-Curve อาทิ ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ไฮโดรเจน การซื้อขายคาร์บอนและการใช้และกักเก็บคาร์บอน (CCUS)

ในปี 66 WHAUP ตั้งเป้าสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว 847 เมกะวัตต์ เพิ่มจาก 683 เมกะวัตต์ในปี 65 ซึ่งประกอบไปด้วยพลังงานสิ้นเปลือง (Conventional Power) 547 เมกะวัตต์ พลังงานแสงอาทิตย์ 133 เมกะวัตต์ และพลังงานจากขยะอุตสาหกรรม (Waste to Energy) อีก 3 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ บริษัทยังคงเร่งเดินหน้าพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ที่ลงนามแล้ว 300 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี 66 อีกด้วย

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นโซลูชันดิจิทัลที่เป็นนวัตกรรมใหม่ WHAUP ได้ร่วมกับ ปตท. และ Sertis พัฒนาแพลตฟอร์มการซื้อขายพลังงานแบบ Peer-to-Peer Energy Trading โดยมีชื่อว่า Renewable Energy Exchange (“RENEX”) ซึ่งแพลตฟอร์มดังกล่าวใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการทำธุรกรรม และอำนวยความสะดวกในการซื้อขายพลังงานของผู้ใช้ในอุตสาหกรรม เปิดตัวในปี 65 และมีลูกค้าชั้นนำกลุ่มแรก 54 ราย ซึ่งอยู่ในนิคมฯ 3 แห่งของ WHA

นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าศึกษาและพัฒนาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในแพลตฟอร์มดังกล่าวด้วย เบื้องต้นได้ลงทะเบียนโครงการพลังงานแสงอาทิตย์กับโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) และ I-REC หรือใบรับรองสีเขียวที่สามารถซื้อขายได้ ซึ่งได้รับการตรวจสอบและรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน I-REC

– ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จะยังคงเป็นผู้นำโครงการการทรานสฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัลภายในองค์กร ช่วยสร้างเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ประสิทธิภาพ การเข้าถึง และความปลอดภัยด้านดิจิทัล นอกจากนี้ ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล จะทำงานร่วมกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของ WHA ในการนำเทคโนโลยีมาสร้างผลิตภัณฑ์และบริการมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและดึงดูดลูกค้ารายใหม่ ตัวอย่างเช่น แดชบอร์ดตรวจสอบแผงพลังงานแสงอาทิตย์และอุปกรณ์ตรวจจับประสิทธิภาพ เครื่องมือวิเคราะห์ ระบบอัตโนมัติ และอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ เป็นต้น

ภายหลังจากการเปิดตัวในปี 65 แอปพลิเคชัน WHAbit หรือโซลูชันสำหรับดิจิทัลเฮลธ์แคร์ ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและกำหนดเปิดตัวเวอร์ชันที่สองในไตรมาส 2/66 ด้วยฟีเจอร์การแสดงข้อมูลด้วยภาพ (Data Visualization) และคำแนะนำส่วนบุคคล นอกจากนี้ ยังวางแผนเปิดตัว Meta W ซึ่งเป็นเมตาเวิร์สด้านอุตสาหกรรมรายแรก นำเสนอ Digital Twin ให้ลูกค้าเข้าไปสัมผัส และมีประสบการณ์เสมือนจริงทั้งในรูปแบบของกิจกรรม การดำเนินงาน โมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ และการตรวจเช็คข้อมูลต่าง ๆ และในอนาคต ดับบลิวเอชเอ ดิจิทัล มีแผนที่จะขยายผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทเพื่อนำเสนอแก่ลูกค้าทั้งภายในและภายนอกระบบนิเวศของ WHA

“เรามองอนาคตปี 66 ด้วยความมั่นใจในเชิงบวก ในขณะที่ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ปกำลังก้าวเข้าใกล้การเป็น Technology Company มากขึ้น เราก็ยังคงส่งเสริมนวัตกรรมต่าง ๆ ให้กับทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยที่ยังเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล”นางสาวจรีพร กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.พ. 66)

Tags: , , ,

Adblock test (Why?)


WHA ประกาศทุ่มลงทุน 6.85 หมื่นล้านใน 5 ปีดันรายรวมทะลุแสนล้านตรึง EBITDA เหนือ 40% : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์
Read More

“เมพ คอร์ปอเรชั่น (MEB)” เคาะราคาไอพีโอ 28.50 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อ 3-7 ก.พ.นี้ - efinanceThai


“เมพ คอร์ปอเรชั่น (MEB)” เคาะราคาขายไอพีโอ 28.50 บาท/หุ้น เปิดให้จองซื้อ 3-7 ก.พ. นี้ คาดเข้าเทรดในตลาด mai 14 ก.พ.66 ระดมทุนขยายธุรกิจ พัฒนาแพลตฟอร์ม พร้อมรุกต่างประเทศทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาท้องถิ่น เพิ่มฐานรายได้สร้างการเติบโต


นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จํากัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ MEB เปิดเผยว่า MEB ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 75.50 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.17% ของจํานวนหุ้นสามัญที่ออกและชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ในราคาหุ้นละ 28.50 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 3 กุมภาพันธ์ และวันที่ 6 - 7 ก.พ.66 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 14 ก.พ. 66 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "MEB" ในหมวด บริการ

การกำหนดราคาไอพีโอที่หุ้นละ 28.50 บาท โดยพิจารณาจากการ Bookbuild ของนักลงทุนสถาบันที่แสดงความสนใจในการจองซื้อหุ้น MEB เป็นอย่างมาก ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งMEB มีผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง สถานะทางการเงินแข็งแกร่งไม่มีภาระหนี้สินเลย อีกทั้งธุรกิจเกี่ยวกับหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Book มีความพิเศษเฉพาะตัว ทำให้มีความน่าสนใจในการลงทุนเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันมีทีมผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์และมีความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างดี และบริหารบริษัทฯ มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน ด้วยความตั้งใจที่จะสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไปพร้อมกับความมุ่งมั่นที่จะนำคอนเทนต์ต่างๆ ของนักเขียนไทยสร้างซอฟต์ พาวเวอร์ สู่ตลาดโลก จึงมั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นของบริษัทฯ จะเป็นที่จับตามองอย่างแน่นอน

นายรวิวร มะหะสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MEB ในฐานะผู้นำธุรกิจจำหน่ายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) ผ่านแพลตฟอร์ม meb และ readAwrite ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับอ่านวรรณกรรมออนไลน์ระดับแนวหน้าของประเทศไทย กล่าวว่า กำหนดราคาเสนอขายหุ้นที่ 28.50 บาทต่อหุ้น ทำให้คาดว่าจะได้เงินจากการระดมทุนครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 2,151.75 ล้านบาท

วัตถุประสงค์การใช้เงินดังนี้ (1) เพื่อใช้สำหรับการขยายธุรกิจที่อยู่ในแพลตฟอร์มปัจจุบัน (meb readAwrite และ Hytexts) โดยการเพิ่มเนื้อหาวรรณกรรมออนไลน์ ประเภทนิยายและไม่ใช่นิยาย (2) เพื่อใช้สำหรับการขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจปัจจุบันไปยังต่างประเทศ โดยเน้นการใช้ภาษาท้องถิ่นของประเทศนั้นๆ ไปพร้อมกับซื้อลิขสิทธิ์วรรณกรรมภาษาไทย แปลเป็นภาษาอังกฤษ และ (3) เพื่อใช้ในการปรับปรุงพัฒนาแพลตฟอร์มปัจจุบันให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ

มั่นใจว่า ภายหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการทำธุรกิจให้มีการเติบโตมากขึ้น รวมทั้งมีความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น และเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศสอดคล้องกับแผนการขยายธุรกิจของบริษัทฯ เพื่อเปิดโอกาสสำคัญในการต่อยอดธุรกิจทั้งการสร้างแพลตฟอร์มใหม่หรือการควบรวมกิจการหรือการเข้าซื้อกิจการในอนาคต และต่อยอดความเป็นผู้นำในธุรกิจด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มและระบบการดำเนินงานมุ่งสร้างประสบการณ์ที่พิเศษให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจะเห็นได้ว่า MEB ยังมีโอกาสและช่องทางการเติบโตทางธุรกิจได้อีกมาก และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอนาคต

อนึ่ง ภายหลังการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ คุณรวิวร มะหะสิทธิ์ และคุณกิตติพงษ์ แซ่ลิ้มในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทฯ จะถือหุ้นรวมกันประมาณ 18.7% และบริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ถือหุ้นผ่านบริษัทย่อยในกลุ่มซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เดิม ประมาณ 56%

ทั้งนี้บริษัทมีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย 2 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริงจำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)

Adblock test (Why?)


“เมพ คอร์ปอเรชั่น (MEB)” เคาะราคาไอพีโอ 28.50 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อ 3-7 ก.พ.นี้ - efinanceThai
Read More

MEB เคาะราคา IPO หุ้นละ 28.50 บ. เปิดจอง 3,6-7 ก.พ. 66 เข้าเ - Thunhoon

[unable to retrieve full-text content]

  1. MEB เคาะราคา IPO หุ้นละ 28.50 บ. เปิดจอง 3,6-7 ก.พ. 66 เข้าเ  Thunhoon
  2. MEB เคาะราคาไอพีโอ 28.50 บาท เปิดจองซื้อ 3- 6 และ 7 ก.พ. นี้  ประชาชาติธุรกิจ
  3. ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News

MEB เคาะราคา IPO หุ้นละ 28.50 บ. เปิดจอง 3,6-7 ก.พ. 66 เข้าเ - Thunhoon
Read More

เงินบาทผันผวน จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า-เงินเฟ้อเดือนม.ค.ของไทย - ประชาชาติธุรกิจ

[unable to retrieve full-text content] เงินบาทผันผวน จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า-เงินเฟ้อเดือนม.ค.ของไทย    ประชาชาติธุรกิจ ดูเรื่องราวจากท...