Rechercher dans ce blog

Tuesday, January 31, 2023

“แบงก์ชาติ”ชี้ท่องเที่ยวฟื้นหนุนเศรษฐกิจ ชี้ยังไม่เห็นสัญญาณเงินทุนเคลื่อนย้ายผิดปกติ - ไทยโพสต์

31 ม.ค. 2566 –  นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในเดือน ธ.ค. 2565 ยังฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน แม้ได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง โดยมีแรงส่งจากภาคบริการที่ขยายตัวต่อเนื่องตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลให้กิจกรรมในภาคบริการ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวขยายตัวต่อเนื่อง

โดยในเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา พบว่า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย อยู่ที่ 2.24 ล้านคน โดยในไตรมาส 4/2565 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5.4 ล้านคน ส่งผลให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปี อยู่ที่ 11.15 ล้านคน โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ เป็นแรงส่งให้ภาคท่องเที่ยวและบริการ ขยายตัวได้ที่ระดับ 2.5% และการขนส่งผู้โดยสารก็ยังเติบโตได้ดีตามการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ยกเว้นภาคการค้าและการขนส่งสินค้าที่ยังได้รับแรงกดดันที่ส่งผ่านมาจากภาคการส่งออกที่ชะลอตัวลง ขณะที่เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่องที่ 1.4% จากเดือนก่อนหน้า จากการใช้จ่ายหมวดบริการที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

ขณะที่มูลค่าการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน ที่ระดับ 0.6% และไตรมาส 4/2565 ติดลบ 5.6%เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนในหลายหมวด โดยเฉพาะหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า และหมวดเคมีภัณฑ์ ที่ลดลงตามอุปสงค์โลกที่ชะลอลง ขณะที่การผลิตบางหมวดเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะหมวดปิโตรเลียมหลังจากได้ปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นครั้งใหญ่ในช่วงก่อนหน้า ส่วนเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนในเดือน ธ.ค. ติดลบ 1.2% และในไตรมาส 4/2565 ติดลบ 4.5%

“ท่องเที่ยวดีขึ้นจีน เพราะจีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาด ขณะที่ในไตรมาส 4/2565 การส่งออกได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอ ดังนั้นปัจจัยที่มีผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจจึงมีทั้งขาบวกและลบ โดยเฉพาะส่งออกที่แรงส่งอาจจะน้อยลง ดังนั้นส่งออกอาจจะไม่ได้วิ่งไปเหมือนกับภาคการท่องเที่ยว โดยอาจจะต้องรอดูปลายปีว่าภาพของเศรษฐกิจคู่ค้าที่อาจจะชัดเจนว่าไม่ได้แย่ แต่ช่วงนี้ส่งออกอาจจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจคู่ค้าชะลออยู่ระยะหนึ่ง ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งหมดของไทย อาจจะต้องรอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์” นางสาวชญาวดี กล่าว

ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ 5.89% จากผลของฐานต่ำในปีก่อนทั้งในหมวดอาหารสดและหมวดพลังงาน รวมทั้งราคาผักที่เพิ่มขึ้นตามผลผลิตที่ออกสู่ตลาดน้อย ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อน ด้านตลาดแรงงานโดยรวมทยอยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ดุลบัญชีเดินสะพัด ในเดือน ธ.ค. 2565 กลับมาเกินดุลที่ 1.1 พันล้านดอลล่าร์ ตามรายรับภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และในไตรมาส 4/2565 เกินดุล 1.2 พันล้านดอลล่าร์ ส่งผลให้ทั้งปีขาดดุล 16.9 พันล้านดอลล่าร์

ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ในเดือน ธ.ค. 2565 เฉลี่ยแข็งค่าขึ้นตามการเปิดประเทศของจีนที่เร็วกว่าตลาดคาด ส่งผลให้ตลาดมีมุมมองที่ดีต่อการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทย รวมทั้งตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในอัตราที่ชะลอลง ส่วนในเดือน ม.ค. 2566 นั้น ยังคงเห็นภาพอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าต่อเนื่อง จากปัจจัยเดียวกับช่วงก่อนหน้า และยังมีปัจจัยเชิงฤดูกาลที่นักลงทุนปรับสัดส่วนสินทรัพย์การลงทุน ทำให้ดัชนีค่าเงินบาทยังแข็งค่าขึ้นได้

“ถามว่าเงินแข็งค่ามาจากอะไร เหตุผลมีทั้งปัจจัยภายนอก และพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีขึ้น โดยในแง่การเคลื่อนไหวของค่าเงินตามใดที่ยังวิ่งสะท้อนพื้นฐานเศรษฐกิจ ก็ถือว่าเป็นไปตามกลไกตลาด การที่ค่าเงินช่วงนี้ผันผวน และมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น บอกได้ว่ามาจากรายรับของภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยเร็วและแรงแบบที่คาด ส่วนเรื่องเงินทุนเคลื่อนย้ายในขณะนี้ยังไม่เห็นสัญญาณการเคลื่อนไหวของเงินทุนที่ผิดปกติ” นางสาวชญาวดี กล่าว

อย่างไรก็ดี ขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นของเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เนื่องจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งรัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนการลงทุนจากบีโอไอ และการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ก็อาจจะเป็นปัจจัยที่ช่วยทำให้นักลงทุนเห็นภาพการลงทุนในไทยที่ชัดเจนขึ้น ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีเวียดนามลาออกนั้น ยังไม่อยากให้มองว่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้มีการย้ายฐานการลงทุนมาไทย เพราะในแง่พื้นฐานเศรษฐกิจเวียดนามดีอยู่แล้ว ดังนั้นแม้ว่าความมั่นคงทางการเมืองจะสั่นคลอน หากพื้นฐานเศรษฐกิจของเวียดนามยังดี ก็อาจเป็นจุดที่นักลงทุนจะมองมากกว่า เพราะการลงทุนเป็นการตัดสินใจระยะยาว

นางสาวชญาวดี กล่าวอีกว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในเดือน ม.ค. 2566 และระยะต่อไปนั้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ผลของการเปิดประเทศและมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของจีน รวมถึงการส่งผ่านต้นทุนของผู้ประกอบการที่อาจจะเพิ่มขึ้น

เพิ่มเพื่อน

Adblock test (Why?)


“แบงก์ชาติ”ชี้ท่องเที่ยวฟื้นหนุนเศรษฐกิจ ชี้ยังไม่เห็นสัญญาณเงินทุนเคลื่อนย้ายผิดปกติ - ไทยโพสต์
Read More

Monday, January 30, 2023

เช้าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดที่ 1,681.66 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด หรือ 0.03% - efinanceThai

[unable to retrieve full-text content]

  1. เช้าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดที่ 1,681.66 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด หรือ 0.03%  efinanceThai
  2. หุ้นไทย เวลา 10.40น. ดัชนีอยู่ที่ 1,677.72 จุด ลบ -3.50 จุด หรือ -0.21%  กรุงเทพธุรกิจ
  3. สังคมข่าวหุ้น  ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์
  4. หุ้นไทยปิดตลาดวันนี้ (30 ม.ค. 66) -0.08 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,681 จุด  ประชาชาติธุรกิจ
  5. แรงกดดัน FED ฉุดหุ้นไทยปิดตลาด -0.08 จุด แนะจับตาถ้อยแถลง "เจอโรม พาวเวลล์"  ผู้จัดการออนไลน์
  6. ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News

เช้าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเปิดที่ 1,681.66 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด หรือ 0.03% - efinanceThai
Read More

สกมช.เปิดตัว “Thailand National Cyber Week 2023” เสริมความแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สร้างเครือข่ายป้องกัน ลดความเสียหายปท. - สยามรัฐ

สกมช. นำทัพเปิดตัวการจัดงาน “นิทรรศการสัปดาห์วิชาการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ปี 2566 (Thailand National Cyber Week 2023)” วันที่ 17 - 18 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.00 – 17.00 น. ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพมหานคร หวังสร้างความแข็งแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ      (สกมช.) กล่าวว่า ปัจจุบันภัยคุกคามทางไซเบอร์ มีสภาพและลักษณะของภัยคุกคามที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมีรูปแบบการโจมตีที่หลากหลาย และส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปในหลายภาคส่วน จึงได้มีแนวคิดในการจัดงาน “นิทรรศการสัปดาห์วิชาการด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ปี 2566 (Thailand National Cyber Week 2023)” เพื่อตอบสนองนโยบายและแผนว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มีเป้าหมายและแนวทางในการบูรณาการ การจัดการ สร้างมาตรการและกลไกในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ โดยมีนโยบายให้ สกมช. เน้นให้มีความแตกต่างจากการจัดงานที่ผ่านมาทุกครั้ง ด้วยคำขวัญ “Secure your cyber, Secure your future” การปกป้องโลกไซเบอร์ ก็เป็นการปกป้องอนาคตของคุณด้วยเช่นกัน อีกทั้งให้หน่วยงาน สกมช. เผยแพร่และสื่อสารเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจด้วยภาษาที่ง่าย และตรงประเด็น

สำหรับทุกกลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ สถาบันการศึกษา และภาคประชาสังคม ถึงภัยคุกคามด้านไซเบอร์ที่มีการโจมตีในทุกรูปแบบและมีผลกระทบกับเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ รวมถึงจะได้ร่วมกันบูรณาการความรู้และใช้ประโยชน์จากงานในครั้งนี้ให้มากที่สุด เพื่อเป็นการปกป้องตนเองและต่อยอดธุรกิจด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์พร้อมทั้งสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการและหน่วยงานต่าง ๆ ทุกภาคส่วนในการแข่งขันกับต่างประเทศและภัยคุกคามในอนาคตต่อไป

ดังนั้นสกมช.จับมือกับหน่วยงานพันธมิตร จัดให้มีการแสดงนิทรรศการผลงานงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์โดยบริษัทสตาร์ตอัป นิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาของไทย การให้คำปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัย ไซเบอร์ พร้อมกับการประชุม-สัมมนา โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งในและต่างประเทศ และนำเสนอความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีความมั่นคงปลอดภัยจากบริษัทและหน่วยงานชั้นนำทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 80 บริษัท รวมถึงการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) ระหว่างเจ้าของผลิตภัณฑ์/บริการและบริษัทที่สนใจนำผลิตภัณฑ์/บริการมาจัดจำหน่ายให้แก่ธุรกิจและบุคคลทั่วไป พบกับมิติใหม่ของมหกรรมรับสมัครงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Job Fair) เปิดโอกาสอันดีสำหรับการสมัครงานแบบไร้ข้อจำกัดกับองค์กรที่มีคุณภาพ หน่วยงานภาครัฐ และบริษัทเอกชนชั้นนำที่จะเปิดบูธรับสมัครงานรวมกว่า 10 ราย และพบกับหัวข้อสัมมนาเพื่ออัปเดตแนวโน้มตลาดแรงงานด้าน Cybersecurity ของไทย ไขข้อข้องใจว่าสายงานด้านไหนที่กำลังขาดแคลนและเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งนักศึกษาที่จบใหม่และผู้ที่มีประสบการณ์ใบรับรอง และทักษะสำคัญใดที่ควรมีเพื่อให้เป็นที่สนใจของเหล่า HR รวมถึงร่วมฟังการเสวนาและแชร์ประสบการณ์กับเหล่าบริษัทไอทีชั้นนำ และสถาบันฝึกอบรมและออกใบรับรองระดับโลก

อีกทั้งยังมีกิจกรรมสำคัญที่ไม่ควรพลาด Live Hacking Demo: “แอปดูดเงิน VS เจาะระบบองค์กรขนาดใหญ่” ชม Live Hacking Demo: “ลองเป็นเหยื่อแอปดูดเงินเพื่อถอดรหัสโจร” และ “เจาะช่องโหว่ระบบ Active Directory ขององค์กรขนาดใหญ่” สัมผัสประสบการณ์พร้อมเรียนรู้พื้นฐานการเจาะระบบและการตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัย (Ethical Hacking & Security) เบื้องต้น จากหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ของไทย เปิดโอกาสสำหรับก้าวแรกสู่สายOffensive Security และร่วมสนุกในเกมการแข่งขันทำโจทย์ตะลุยด่านด้าน Cybersecurity ชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท พร้อมรับประกาศนียบัตรจาก สกมช. และเปิดเวทีให้บริษัทสตาร์ตอัปและสถาบันการศึกษานำผลงานวิจัยและผลิตภัณฑ์มานำเสนอโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย ซึ่งทุกหน่วยจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในด้านเทคโนโลยีและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงส่งเสริมการสร้างความตระหนัก รู้ ตื่นตัว  เห็นความสำคัญในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพิ่มขีดความสามารถให้กับทุกภาคส่วนในการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามไซเบอร์ และส่งเสริมผู้ประกอบการในการแข่งขันและสร้างโอกาสในการเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อีกด้วย 

คุณกฤษณา เขมากรณ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย M-Solutions Technology (Thailand) Co., Ltd.
กล่าวว่า บริษัท M.TECH มาพร้อมกับแนวคิด SecureTogether StrongerTogether will Secure Everything ซึ่งในงานนี้บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยีการป้องกัน และรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ชั้นนำ มาจัดแสดง ซึ่งภายใต้ความมุ่งมั่นที่จะทำงาน เรารวบรวมเทคโนโลยีของผู้นำ CyberSecurity Vendor พร้อมทั้งบูรณาการสร้างสถาปัตยกรรมให้เทคโนโลยีทำงานประสานกัน เพื่อให้สามารถตรวจพบและตอบสนองต่อภัยไซเบอร์ได้อย่างทันท่วงที

บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด : ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของอุตสาหกรรม ต่าง ๆ อาทิ  5G และ AI ได้ส่งผลให้โลกไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น และทำให้เกิดภัยทางไซเบอร์ใหม่ ๆ ในหลายรูปแบบ ซึ่งบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เล็งเห็นและให้ความสำคัญในการส่งเสริมบุคลากรด้าน ICT ในไทย และมีเป้าหมายที่จะพัฒนาทักษะบุคลากรให้กลายเป็นขุมพลังสำคัญด้านบุคลากรไซเบอร์ซีเคียวริตี้ของประเทศ จึงได้ร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ผ่านโครงการฝึกอบรมที่ยั่งยืน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนทางไซเบอร์ในตลาดแรงงานไทย และขับเคลื่อนประเทศไทยให้เข้าสู่ยุคอัจฉริยะที่ทุกคนมีบทบาทและเชื่อมถึงกันอย่างเต็มรูปแบบ

ผู้สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.thncw.com หรือ Facebook THNCW 

Adblock test (Why?)


สกมช.เปิดตัว “Thailand National Cyber Week 2023” เสริมความแกร่งด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สร้างเครือข่ายป้องกัน ลดความเสียหายปท. - สยามรัฐ
Read More

สกมช.เร่งสร้างภูมิคุ้มกันไซเบอร์ให้ประชาชน ผ่านนิทรรศการ "Thailand National Cyber Week 2023" - ผู้จัดการออนไลน์



สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) เร่งสร้างภูมิคุ้มกันไซเบอร์แก่ประชาชนผ่านงานนิทรรศการ "Thailand National Cyber Week 2023" จัดขึ้นในวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2566 ที่สามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพฯ พร้อมทยอยจัดโรดโชว์ทุกภูมิภาค

พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวว่า การจัดนิทรรศการ Thailand National Cyber Week 2023 ที่สามย่านมิตรทาวน์ฮอล์ ชั้น 5 สามย่านมิตรทาวน์กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อมุ่งสร้างความเข้าใจให้ประชาชนให้รับทราบถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และมีรูปแบบการโจมตีที่หลากหลาย

ทั้งนี้ สกมช. ยังได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรจัดให้มีการแสดงนิทรรศการผลงานวิจัยและผลิตภัณฑ์ด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์โดยบริษัทสตาร์ทอัป นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัย และสถาบันทางการศึกษาของไทย การให้คำปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พร้อมกับการประชุมสัมมนา โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากทั้งในและต่างประเทศ พร้อมด้วยการนำเสนอความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีความมั่นคงปลอดภัยจากบริษัทและหน่วยงานชั้นนำทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 80 บริษัท รวมถึงการเจรจาธุรกิจ (business matching) ระหว่างเจ้าของผลิตภัณฑ์/บริการ และบริษัทที่สนใจนำผลิตภัณฑ์/บริการมาจัดจำหน่ายให้แก่ธุรกิจและบุคคลทั่วไป พบกับมิติใหม่ของมหกรรมรับสมัครงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Job Fair) เปิดโอกาสในการรับสมัครงานแบบไร้ข้อจำกัดกับองค์กรที่มีคุณภาพ หน่วยงานภาครัฐ และบริษัทเอกชนชั้นนำที่จะเปิดบูทรับสมัครงานรวมกว่า 10 ราย รวมถึงการจัดเสวนาและรับฟังประสบการณ์กับเหล่าบริษัทไอทีชั้นนำ

โดยอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของงานนี้คือ การ Live Hacking Demo "แอปดูดเงิน VS เจาะระบบองค์กรขนาดใหญ่" ว่ามีการทำงานอย่างไรให้ประชาชนได้มีความรู้ในส่วนนี้และลองสัมผัสประสบการณ์พร้อมเรียนรู้พื้นฐานการเจาะระบบและการตรวจสอบความมั่นคงปลอดภัยเบื้องต้น จากหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ของไทย เปิดโอกาสสำหรับก้าวแรกสู่สาย

Offensive Security และร่วมสนุกในเกมการแข่งขันทำโจทย์ตะลุยด่านด้าน Cybersecurity ชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 100,000 บาท พร้อมรับประกาศนียบัตรจาก สกมช. และเปิดเวทีให้บริษัทสตาร์ตอัปและสถาบันการศึกษานำผลงานวิจัยและผลิตภัณฑ์มานำเสนอโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย ซึ่งทุกหน่วยงานจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในด้านเทคโนโลยีและการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ รวมถึงส่งเสริมการสร้างความตระหนักรู้ตื่นตัว เห็นความสำคัญในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพิ่มขีดความสามารถให้ทุกภาคส่วนในการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามไซเบอร์ และส่งเสริมผู้ประกอบการในการแข่งขันและสร้างโอกาสในการเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อีกด้วย

นอกจากนี้ สกมช.จะจัดการโรดโชว์ (Road show) ให้ความรู้แก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ของภาครัฐในแต่ละภูมิภาค ดังนี้

กรุงเทพมหานคร วันที่ 22-24 ก.พ.2566
จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 1-3 มี.ค.2566
จังหวัดพิษณุโลก วันที่ 8-10 มี.ค.2566
จังหวัดอุดรธานี วันที่ 15-17 มี.ค. ฝ2566
จังหวัดมหาสารคาม วันที่ 22-24 มี.ค.2566
จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 29-31 มี.ค.2566
จังหวัดสงขลา วันที่ 3-5 เม.ย.2566
จังหวัดชลบุรี วันที่ 10-12 เม.ย.2566
จังหวัดกาญจนบุรี วันที่ 19-21 เม.ย.2566

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้และลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ www.thncw.com หรือเพจเฟซบุ๊ก THNCW


Adblock test (Why?)


สกมช.เร่งสร้างภูมิคุ้มกันไซเบอร์ให้ประชาชน ผ่านนิทรรศการ "Thailand National Cyber Week 2023" - ผู้จัดการออนไลน์
Read More

Sunday, January 29, 2023

มูลค่าคริปโทยังเหนือล้านล้าน Bitcoin เช้ามืดเฉียด 24K วีคนี้จับตาเฟด - efinanceThai

มูลค่าตลาดคริปโทยังเหนือล้านล้านดอลลาร์ Bitcoin เช้ามืดเฉียด $24K วีคนี้จับตาอีเวนต์ใหญ่! ลุ้นผลประชุมเฟด

 

คริปโทเคอร์เรนซีอันดับ 1 ของโลกอย่าง Bitcoin ยังคงโชว์ฟอร์มได้ดีอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เปิดมาช่วงต้นปี หากนับถึงวันนี้พบว่า Bitcoin ให้ผลตอบแทนแล้วถึง 43% หรือขึ้นมาทำจุดสูงสุดในเดือนนี้เฉียด 24,000 ดอลลาร์

 

เป็นที่น่าสังเกตว่าในรอบทศวรรษที่ผ่านมา เดือนมกราคมเป็นเดือนที่ Bitcoin ให้ผลตอบแทนติดลบถึง 6 ครั้ง (ในปี 2015-2019,2022) แต่ไม่ใช่สำหรับเดือนมกราคมปี 2023 ที่ราชาคริปโทพลิกกลับมาทำผลงานได้ดี

 

โดยเช้ามืดวันนี้ Bitcoin ขึ้นไปเฉียด 24,000 ดอลลาร์ที่ระดับ 23,960 ดอลลาร์ ก่อนที่จะย่อตัวลงมาซื้อขายอยู่ราวๆ 23,600 ดอลลาร์ในขณะที่รายงาน หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2% 

 

Ethereum ขึ้นไปทำจุดสูงสุดเช้ามืดวันนี้ 1,660 ดอลลาร์ ก่อนที่จะย่อตัวลงมาซื้อขายอยู่ราว 1,640 ดอลลาร์หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 2% 

 

Solana เมื่อคืนนี้ โชว์แท่งเขียว 3 แท่งซ้อน ดีดตัวจาก 25 ดอลลาร์ขึ้นไปที่ 26.50 ดอลลาร์ ก่อนจะย่อตัวเล็กน้อยและดีดตัวขึ้นมาอีกรอบในช่วงเช้ามืดวันนี้ขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ 26.80 ดอลลาร์ แม้เช้านี้จะย่อตัวลงมาเล็กน้อยแต่ก็ถือว่าเพิ่มขึ้นแรงกว่า Bitcoin และ Ethereum โดยบวกไปกว่า 5%   

 

Market cap. รวมตลาดคริปโทเคอร์เรนซีฟื้นตัว +1.22% เป็น 1.08 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปริมาณการซื้อขายในรอบ 24 ชั่วโมงอยู่ที่ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 30%

 

ขณะที่อีเวนต์ใหญ่จากสหรัฐฯ ที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาคือ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ   (เฟด) นัดแรกของปีนี้ในวันที่ 31 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะทราบผลการประชุมในเช้าตรู่วันพฤหัสบดีตามเวลาไทย (2 ก.พ.)โดยตลาดการเงินทั่วโลกให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ ไว้ที่ 0.25% สู่ระดับ 4.50%-4.75%

 

ซึ่งในฝั่งของนักลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี ก็คงต้องมาติดตามดูว่า ผลการประชุมของเฟดรอบนี้จะเป็นไปตามที่ตลาดคาดหรือมีเซอร์ไพรซ์อะไรหรือไม่ ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าในทุกรอบของการประชุมเฟดนั้น ราคา Bitcoin มักจะผันผวนหนักทั้งในช่วงก่อนและหลังการประชุม 

 

 

ที่มา : coinglass  quantifycrypto  coinmarketcap

 

*การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ผู้สนใจควรศึกษาข้อมูลและประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

 

Adblock test (Why?)


มูลค่าคริปโทยังเหนือล้านล้าน Bitcoin เช้ามืดเฉียด 24K วีคนี้จับตาเฟด - efinanceThai
Read More

'ค่าเงินบาท'แข็งค่า 32.76 บาท จับตาผลประชุมเฟดขึ้นดอกเบี้ยสัปดาห์นี้ - เดลินิวส์ออนไลน์

น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาทวันนี้ 30 ม.ค.แข็งค่ามาที่ระดับ 32.74-32.76 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 32.87 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียแข็งค่าขึ้นตามทิศทางเงินหยวน อย่างไรก็ดีช่วงบวกของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด (ตามสัญญาณขายสุทธิของต่างชาติในตลาดพันธบัตร) เนื่องจากตลาดยังคงรอติดตามสัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากผลการประชุมเฟดช่วงกลางสัปดาห์อย่างใกล้ชิด

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 32.65-32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ การเคลื่อนไหวของเงินหยวนและสกุลเงินเอเชีย รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ อาทิ จีดีพีไตรมาส 4/65 ของเยอรมนี และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ความหวังเฟดชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและรายงานผลประกอบการโดยรวมที่ดีกว่าคาด ได้หนุนให้ตลาดการเงินกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยในสัปดาห์นี้ มองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเตรียมรับมือความผันผวนในสัปดาห์ที่จะมีการประชุมธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด, ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) รวมถึงรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน

โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

ฝั่งสหรัฐฯ – คาดว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลงต่อเนื่องจะหนุนให้เฟดอาจตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียง +0.25% สู่ระดับ 4.50%-4.75% ในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ (รอผลการประชุมช่วง 2.00 น. วันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย) อย่างไรก็ดี แม้อัตราเงินเฟ้อจะชะลอลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2.00% พอสมควร อีกทั้งแรงกดดันเงินเฟ้อจากภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัว จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่อง (เราคงมองว่าจุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Terminal Rate ในครั้งนี้ จะอยู่ที่ระดับ 5.25%)

อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ทั้งนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ มองว่า ธีมหลักของตลาดการเงินอาจเป็น “Good/Upbeat Data = Bad News for Market” หรือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีกว่าคาด อาจทำให้ตลาดกังวลว่า เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่า Terminal Rate 5.00% ที่ตลาดคาดหรือเฟดอาจจะไม่ลดดอกเบี้ยลงในช่วงปลายปีอย่างที่ตลาดคาดหวัง โดยสัปดาห์นี้ ตลาดมองว่า ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในเดือนมกราคมอาจเพิ่มขึ้นราว 185,000 ราย ทำให้อัตราการว่างงานจะอยู่ที่ 3.6%

ทั้งนี้ ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและยังคงตึงตัวจะส่งผลให้ ค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ย (Average Hourly Earnings) เพิ่มขึ้น +0.3%m/m หรือ +4.3%y/y และนอกเหนือจากผลการประชุมเฟด รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ อย่าง Alphabet, Amazon และ Apple เป็นต้น ซึ่งหากผลประกอบการรวมถึงแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต ออกมาแย่กว่าคาด ก็อาจส่งผลให้บรรยากาศในตลาดการเงินพลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ได้

ฝั่งยุโรป – ประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรปที่ดีขึ้นกว่าคาด หลังวิกฤตพลังงานไม่ได้รุนแรงอย่างที่เคยกังวล (สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยูโรโซนที่ออกมาดีกว่าคาด) ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนและอังกฤษยังอยู่ในระดับที่สูงมาก ทำให้ทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะตัดสินใจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย +0.50% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ของ ECB ปรับขึ้นสู่ระดับ 2.50% ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Bank Rate) ของ BOE จะปรับขึ้นสู่ระดับที่สูงถึง 4.00% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตามุมมองของทั้ง ECB และ BOE ต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินในอนาคต โดยเฉพาะในประเด็นอัตราการขึ้นดอกเบี้ย ว่าจะมีการชะลอลงหรือไม่ และ Terminal Rate จะอยู่ที่ระดับใด

ฝั่งเอเชีย – ตลาดมองว่า ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของญี่ปุ่น ในเดือนธันวาคมจะขยายตัวราว +0.8%m/m ท่ามกลางอานิสงส์จากการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของครัวเรือนที่คึกคักในช่วงปลายปี ส่วนในฝั่งจีน การทยอยผ่อนคลายมาตรการคุมการระบาด COVID จะช่วยหนุนให้ทั้งภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการของจีนฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมเดือนมกราคมที่ระดับ 49.9 จุด (จาก 47 จุด ในเดือนก่อนหน้า) และดัชนี PMI ภาคการบริการที่ระดับ 51.5 จุด (จาก 41.6 จุด ในเดือนก่อนหน้า)

ฝั่งไทย – ประเมินว่าภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงอาจส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทย สอดคล้องกับการชะลอตัวลงที่ชัดเจนของภาคการส่งออก โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมกราคมอาจลดลงสู่ระดับ 51 จุด อย่างไรก็ดี ความหวังการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน อาจช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ (Business Sentiment) ในเดือนมกราคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50 จุดได้

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท ประเมินว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหว Sideways แต่อาจผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง หากตลาดปิดรับความเสี่ยงและเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ (ราคาทองคำมีโอกาสย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับได้) รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยในส่วนฟันด์โฟลว์นั้น นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิบอนด์ระยะสั้นมากขึ้น หลังรับรู้ผลการประชุม กนง. ส่วนในฝั่งหุ้นก็มีทิศทางที่ไม่ได้ชัดเจนนัก

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น มองว่า ควรระวัง ตลาด “Sell on Fact” หากเฟดขึ้นดอกเบี้ย +0.25% ตามคาด แต่ส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งหากเกิดขึ้นในจังหวะที่ตลาดผิดหวังกับผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ก็อาจทำให้ตลาดปิดรับความเสี่ยง หนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้น อย่างไรก็ดี หาก ECB และ BOE ขึ้นดอกเบี้ย +0.50% มากกว่าเฟด พร้อมทั้งส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องก็อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้เช่นกัน

Adblock test (Why?)


'ค่าเงินบาท'แข็งค่า 32.76 บาท จับตาผลประชุมเฟดขึ้นดอกเบี้ยสัปดาห์นี้ - เดลินิวส์ออนไลน์
Read More

หุ้นไทยวันนี้ 27 ม.ค. 66 ปิดตลาดหุ้นบ่าย ปรับขึ้น 9.96 ดัชนีอยู่ที่ 1,681 จุด - ไทยรัฐ

การเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือหุ้นไทยวันนี้ ประจำวันที่ 27 ม.ค. 66 ครึ่งวันบ่าย พบว่า ดัชนีปรับขึ้น 9.96 เปลี่ยนแปลง 0.60% ดัชนีอยู่ที่ 1,681.30 จุด ดัชนีสูงสุด 1,683.77 ดัชนีต่ำสุด 1,670.91 มูลค่าการซื้อขาย 57,796.80 ล้านบาท

ทั้งนี้ สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขาย 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 2. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) 3. บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 4. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 5. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน).

Adblock test (Why?)


หุ้นไทยวันนี้ 27 ม.ค. 66 ปิดตลาดหุ้นบ่าย ปรับขึ้น 9.96 ดัชนีอยู่ที่ 1,681 จุด - ไทยรัฐ
Read More

ยังไม่หมดรอบ "ดอกเบี้ย" ขาขึ้น - efinanceThai

บทบรรณาธิการ

โดย
พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน

: บรรณาธิการบริหาร
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย

pimrapas@efinancethai.com
ยังไม่หมดรอบ

"อั้นไม่ไหว" จริงๆ สำหรับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง 0.25% จากที่เคยปรับไปแล้วเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่ผ่านมา ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายล่าสุดอยู่ที่ 1.50% 

โดยกนง.ให้เหตุผลแม้เงินเฟ้อทั่วไปจะมีแนวโน้มลดลงตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลก แต่ตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะทรงตัวในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อเงินเฟ้อ เลยทำให้ กนง. จะเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง

การขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ น่าจะยังไม่ใช่รอบสุดท้าย เพราะบรรดากูรู หลายสำนักฟันธงทันทีว่าจะมีครั้งต่อไปแน่นอน และเราอาจจะเห็นดอกเบี้ยนโยบายขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 2%

โดย SCB EIC คาดว่า กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยไปสู่ระดับ 2% เช่นเดียวกับ Krungthai COMPASS ที่มองว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีต่อเนื่อง ดังนั้นจึงทำให้กนง. มีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนมีนาคม และเดือนพฤษภาคม ครั้งละ 0.25% จากนั้นคาดว่าจะคงดอกเบี้ยนโยบาย ไว้ที่ระดับ 2% ตลอดปีนี้ เพื่อให้นโยบายการเงินค่อยๆ กลับสู่ระดับที่เหมาะสมกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

ซึ่งการส่งผ่านนโยบายครั้งนี้ทำให้ ธนาคารรัฐ และเอกชน เริ่มทยอยขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วหลายแห่ง นำร่องโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่ปรบขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% ซึ่งถือเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี เลยทีเดียว ตามมาด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรการสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125 - 0.25%

ส่วนเอกชน ก็มีธนาคารกรุงเทพ (BBL) นำร่องขึ้นดอกเบี้ยกู้ 0.15-0.20% และดอกเบี้ยเงินฝาก 0.05-0.25%

หลังจากนี้ อีกหลายๆแบงก์ก็คงพาเหรดขึ้นดอกเบี้ยตามๆ กันมา ใครมีหนี้สิน ใครกู้เงินซื้อบ้านไว้ จะต้องทำใจรับกับต้นทุนการกู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะคาดว่าครึ่งปีแรกนี้ เทรนด์ดอกเบี้ยน่าจะเป็นขาขึ้น จนกว่าเงินเฟ้อจะนิ่งกว่านี้ รวมถึงการติดตามทิศทางดอกเบี้ยจากเฟดด้วย เพราะคาดว่าการประชุมรอบแรกของปีนี้วันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. นี้ จะยังคงขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.25% อยู่ หลังจากนั้นถึงจะเริ่มชะลอลง ตามทิศทางเงินเฟ้อของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่หลายฝ่ายกังวลว่าจะชะลอตัว และเข้าสู่ภาวะถดถอย นับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้นั้น ก็อาจจะทำให้การใช้นโยบายการเงินมีความระมัดระวังมากขึ้นเหมือนกัน เนื่องจากความเสี่ยงของเศรษฐกินในอนาคตยังมีอยู่ เพียงแต่ในฟากฝั่งของประเทศไทย อาจจะได้รับผลกระทบไม่มากนัก เพราะการท่องเที่ยวยังเป็นตัวช่วยได้ดี โดยเฉพาะการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน จะมีก็แต่การส่งออก ที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด หากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของเราถดถอย

อยู่ให้ได้ เอาตัวรอดให้เป็น ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

RECOMMENDED NEWS

ข่าวหุ้นยอดนิยม

Refresh


Adblock test (Why?)


ยังไม่หมดรอบ "ดอกเบี้ย" ขาขึ้น - efinanceThai
Read More

Saturday, January 28, 2023

รมว.คลัง เปิดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ สัญจร ครั้งที่ 5” จ.ส - Thunhoon

[unable to retrieve full-text content]

  1. รมว.คลัง เปิดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ สัญจร ครั้งที่ 5” จ.ส  Thunhoon
  2. “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ฯ” ช่วยเหลือลูกหนี้ได้ 5 แสนราย | ย่อโลกเศรษฐกิจ 27 ม.ค.66  TNN Online
  3. มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ 5 ครั้งยอดลงทะเบียน 5 แสนราย  ฐานเศรษฐกิจ
  4. "อาคม" ลงสงขลาเปิดงาน มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ สัญจร คาดช่วยลูกหนี้รวม 5 แสนราย  ไทยรัฐ
  5. ชาวใต้แห่ร่วมงาน มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ สงขลา คึกคัก คาดรวมจัด 5 ครั้ง มียอดลงทะเบียน 5 แสนราย  ผู้จัดการออนไลน์
  6. ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News

รมว.คลัง เปิดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ สัญจร ครั้งที่ 5” จ.ส - Thunhoon
Read More

ดัชนีหุ้นไทยฟื้นปิดบวก 6.79 จุด - เดลินิวส์ออนไลน์

This website uses cookies to improve your experience while you navigate through the website. Out of these, the cookies that are categorized as necessary are stored on your browser as they are essential for the working of basic functionalities of the website. We also use third-party cookies that help us analyze and understand how you use this website. These cookies will be stored in your browser only with your consent. You also have the option to opt-out of these cookies. But opting out of some of these cookies may affect your browsing experience.

Adblock test (Why?)


ดัชนีหุ้นไทยฟื้นปิดบวก 6.79 จุด - เดลินิวส์ออนไลน์
Read More

KBANK คาดกรอบ “เงินบาท” สัปดาห์หน้า 32.50-33.30 บ./ดอลลาร์ - ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในสัปดาห์หน้า (30 ม.ค.-3 ก.พ.) ไว้ที่ระดับ 32.50-33.30 บาท/ดอลลาร์ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณดอกเบี้ยสหรัฐฯ และผลประชุมเฟด (31 ม.ค.-1ก.พ.) ผลการประชุม ECB และ BOE ทิศทางเงินทุนต่างชาติ (Flow) และรายงานเศรษฐกิจการเงินเดือนธ.ค.ของไทยโดย ธปท.

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ดัชนี ISM ภาคการผลิตและบริการเดือนม.ค. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค. และดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามดัชนี PMI ภาคการผลิต/บริการเดือนม.ค.ของจีน ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/65 อัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค.ของยูโรโซนด้วยเช่นกัน

สำหรับเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบก่อนทยอยอ่อนค่าลงช่วงปลายสัปดาห์ โดยช่วงต้นสัปดาห์เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 10 เดือนที่ 32.57 บาท/ดอลลาร์ ตามทิศทางสกุลเงินอื่นๆในเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ขาดแรงหนุนท่ามกลางกระแสการคาดการณ์ว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียง 0.25% ในการประชุมปลายเดือนนี้ นอกจากนี้การแข็งค่าของเงินบาทยังสอดคล้องกับจังหวะซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เงินบาทยังมีแรงหนุนเพิ่มเติม หลังจากที่ตลาดทยอยประเมินความเป็นไปได้ที่จะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของไทยในรอบการประชุมถัดๆ ไปด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี เงินบาทอ่อนค่ากลับมาในช่วงปลายสัปดาห์ ขณะที่เงินดอลลาร์มีปัจจัยบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จีดีพีในไตรมาส 4/65 และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งโอกาสที่เฟดจะส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินในหลายๆ รอบการประชุมข้างหน้า

ในวันศุกร์ที่ 27 ม.ค.66 เงินบาทปิดตลาดที่ระดับ 32.83 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับระดับ 32.81 บาท/ดอลลาร์ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (20 ม.ค.) สำหรับสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 23-27 ม.ค.นั้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นและพันธบัตรไทย 2,921 ล้านบาท และ 2,189 ล้านบาท

Adblock test (Why?)


KBANK คาดกรอบ “เงินบาท” สัปดาห์หน้า 32.50-33.30 บ./ดอลลาร์ - ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์
Read More

Wednesday, January 25, 2023

รอเลย! ธอส.นำมาตรการแก้หนี้ เติมเงิน เสริมสภาพคล่องลูกค้าชาวใต้ในงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ฯ สัญจร ครั้งที่ 5 จ.สงขลา - สยามรัฐ

ธอส. นำมาตรการแก้หนี้ เติมเงิน เสริมสภาพคล่องให้ลูกค้าชาวใต้ ในงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ฯ สัญจร ครั้งที่ 5 จ.สงขลา วันที่ 27-29 ม.ค.66 
  
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้ไขหนี้ครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนหรือผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาหนี้สินให้สามารถได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างครบวงจร ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้เตรียมนำมาตรการแก้หนี้และผลิตภัณฑ์ทางการเงินในเงื่อนไขและอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ไปให้บริการลูกค้าประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ที่งาน มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน สัญจร ครั้งที่ 5 จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ และหน่วยงานพันธมิตร จัดงานดังกล่าวขึ้น ระหว่างวันที่ 27-29 มกราคม 2566 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา

โดยรายละเอียดความช่วยเหลือของ ธอส. ประกอบด้วย 1.มาตรการแก้หนี้ : ช่วยเหลือลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร 1.มาตรการ 22 [M22] : สำหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL หรือลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ผ่อนเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ 2 ปี เดือนที่ 1-10 ชำระเพียงงวดละ 1,000 บาท ดอกเบี้ย 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด), 2.มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ : คิดเงินงวดจากอัตราดอกเบี้ย 3.90% ต่อปี นาน 6 เดือน และ 3.มาตรการ 17 [M17] : สำหรับลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL หรือลูกค้ารายย่อยสถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ/ปรับโครงสร้างหนี้ ให้ผ่อนเงินงวดต่ำพร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พิเศษ 1 ปี เดือนที่ 1-3 ผ่อนชำระงวดละ 1,000 บาท ดอกเบี้ย 0% ต่อปี (ตัดชำระเงินต้นทั้งหมด) 

2.ออมเงิน : เงินฝากออมทรัพย์ Happy Savings รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุดถึง 2.25% ต่อปี (นับตั้งแต่วันที่เปิดบัญชีถึงวันที่ 31 มีนาคม 2569) เมื่อเปิดบัญชีเงินฝากตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2566 เพียงเปิดบัญชีขั้นต่ำ 10,000 บาท ขึ้นไป พิเศษ! บุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝากอัตราดอกเบี้ยเทียบเท่ากับได้รับอัตราดอกเบี้ย
เงินฝากประจำ 2.65% ต่อปี พิเศษชั้นที่ 2!! จองสิทธิ์ภายในงานและเปิดบัญชีภายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 รับของสมานาคุณฟรี หรือออมเงินกับ สลากออมทรัพย์ ธอส. ผลตอบแทนดี โอกาสถูกรางวัลสูง นำโดยสลาก ชุด พิมานมาศ Plus หน่วยละ 50,000 บาท ผลตอบแทนหน้าสลาก 1.25% ต่อปี ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 3 ล้านบาท 24 งวด พร้อมลุ้นรางวัล เลขท้าย 4 ตัว มูลค่ารางวัลละ 10,000  บาท, รางวัลเลขท้าย 3 ตัว มูลค่ารางวัลละ 2,000 บาท, รางวัลเลขท้าย 2 ตัว มูลค่ารางวัลละ 200 บาท และรางวัลเลขท้าย 1 ตัว มูลค่ารางวัลละ 100 บาท และชุดต่อเงินต่อทอง หน่วยละ 10,000 บาท พร้อมรับรางวัลเป็นสลากออมทรัพย์เพื่อเพิ่มโอกาสในการถูกรางวัลมากขึ้น และชุดเกล็ดดาว พลัส หน่วยละ 5,000 บาท ผลตอบแทนหน้าสลาก 0.65% ต่อปี ลุ้นรางวัลที่ 1 มูลค่า 1 ล้านบาท 24 งวด พร้อมลุ้นรางวัลเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว รางวัลเลขสลับเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว เป็นต้น 

3.เติมที่อยู่อาศัย : บ้านมือสอง ธอส. 1,000 กว่ารายการทั่วประเทศ จำหน่ายพร้อมส่วนลดสูงสุด 50% จากราคาประเมินปัจจุบัน สามารถผ่อนดาวน์  0% ระยะเวลานานถึง 36 เดือนทุกรายการทรัพย์ จองซื้อทรัพย์ภายในงานวางเงินประกันการซื้อทรัพย์และทำสัญญามัดจำการซื้อเพียงรายการละ 1,000 บาท (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด) พิเศษ!! รับฟรีของสมนาคุณสำหรับลูกค้าที่จองซื้อบ้านมือสอง ธอส. ภายในงาน และ สำหรับลูกค้า 15 รายแรกที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายภายในเวลาที่กำหนด รับไปเลย!!! บัตรเติมน้ำมันมูลค่า 1,000 บาท 1 รายการทรัพย์ ต่อ 1 ใบ

ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานมหกรรมผ่านระบบของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ที่ https://ln15.gsb.or.th/WEB-DEBT/ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL , GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th

Adblock test (Why?)


รอเลย! ธอส.นำมาตรการแก้หนี้ เติมเงิน เสริมสภาพคล่องลูกค้าชาวใต้ในงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ฯ สัญจร ครั้งที่ 5 จ.สงขลา - สยามรัฐ
Read More

Tuesday, January 24, 2023

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $6.8 รับดอลล์อ่อน-คาดเฟดชะลอขึ้นดบ. - อาร์วายที9

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ในวันอังคาร (24 ม.ค.) โดยตลาดยังคงได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ยังเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทองคำด้วย

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 6.8 ดอลลาร์ หรือ 0.35% ปิดที่ 1,935.4 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 19.5 เซนต์ หรือ 0.83% ปิดที่ 23.749 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 10.5 ดอลลาร์ หรือ 0.99% ปิดที่ 1,066.8 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. พุ่งขึ้น 34.10 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 1,735.50 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาทองคำได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.19% แตะที่ 101.9150 เมื่อคืนนี้

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ

ตลาดทองคำยังคงได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. หลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว

นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา คาดว่า ราคาทองจะพุ่งทะลุ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยได้แรงหนุนจากการที่เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่า และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับตัวลง


Adblock test (Why?)


ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $6.8 รับดอลล์อ่อน-คาดเฟดชะลอขึ้นดบ. - อาร์วายที9
Read More

ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 1.10 จุดรับแรงขาย DELTA-SCGP - อาร์วายที9

SET ปิดที่ 1,682.94 จุด ลดลง 1.10 จุด (-0.07%) มูลค่าการซื้อขาย 56,561.00 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยช่วงเช้ารับแรงเก็งกำไรกลุ่มเซมิกคอนดักเตอร์ แต่ช่วงบ่ายพลิกมาไหลลงลงตามแรงขาย DELTA รวมถึง SCGP ผิดหวังกำไรต่ำคาด รวมทั้งเงินบาทกลับมาอ่อนค่าหลังตัวเลขส่งออกหดตัวแรงและขาดดุลการค้าต่อเนื่อง เตือนระวังต่างชาติเทขาย รอลุ้นพรุ่งนี้ กนง.ปรับตัวเลข GDP และตัวเลขนักท่องเที่ยว ชี้ทิศทางตลาด ให้แนวรับ 1,672 จุด แนวต้านที่ 1,695 จุด

SET ปิดวันนี้ที่ 1,682.94 จุด ลดลง 1.10 จุด (-0.07%) มูลค่าการซื้อขาย 56,561.00 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นวันนี้ เคลื่อนไหวแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ บ่ายย่อตัวลงและลบในช่วงท้ายตลาด โดยทำระดับสูงสุด 1,693.97 จุด และระดับต่ำสุด 1,682.58 จุด

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 527 หลักทรัพย์ ลดลง 866 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 573 หลักทรัพย์

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าบวกขึ้นมาตามแรงซื้อหุ้น DELTA ที่มีผลต่อดัชนี 2-3 จุด รับโมเมมตัมกลุ่ม Tech ในตลาดหุ้นสหรัฐดีดตัวขึ้น หนุนกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ และหุ้นในตลาด mai อาทิ FSMART,DITTO ส่งให้ SET ขึ้นทำจุดสูงสุด 1,693.97 ใกล้จุดสูงสุดเดิม

แต่ช่วงบ่ายตลาดย่อตัวจากแรงขาย DELTA และ SCGP ที่ผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ Sentiment ตลาดดูไม่ดี และสัปดาห์นี้คาดผลประกอบการ บจ.ส่วนใหญ่จะออกมาไม่ดีนัก อาทิ SCC , PTTEP แนะกลยุทธ์ Selective Buy และถ้าขึ้นก็ขาย

นอกจากนี้ เงินบาทกลับมาอ่อนค่า หลังจากตัวเลขส่งออกเดือน ธ.ค.หดตัวแรง และขาดดุลการค้า ซึ่งแนวโน้มยังขาดดุลการค้าต่อเนื่องยิ่งจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงอีก เตือนระวังนักลงทุนต่างชาติเทขาย

ขณะที่ต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พรุ่งนี้ ซึ่งตลาดคาดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% แต่สิ่งที่ต้องจับตาคือการปรับประมาณการ GDP ปี 66 และตัเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ก่อนหน้าคาดการณ์ไว้ที่ 22 ล้านคน

"ถ้าปรับ (ประมาณการ) ขึ้นเยอะก็ดี ถ้าปรับขึ้นน้อยก็เป็นลบ อาจมี sell on fact เพราะขึ้นมาเยอะแล้ว"นายถนอมศักดิ์ กล่าว

แนวโน้มตลาดวันพรุ่งนี้ขึ้นกับผลประชุม กนง. ให้แนวรับที่ 1,672 จุด แนวต้านที่ 1,695 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 4,262.42 ล้านบาท ปิดที่ 884.00 บาท ลดลง 6.00 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,747.66 ล้านบาท ปิดที่ 143.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

SCGP มูลค่าการซื้อขาย 1,687.96 ล้านบาท ปิดที่ 53.50 บาท ลดลง 1.75 บาท

AOT มูลค่าการซื้อขาย 1,651.28 ล้านบาท ปิดที่ 75.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

HANA มูลค่าการซื้อขาย 1,636.32 ล้านบาท ปิดที่ 59.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท


Adblock test (Why?)


ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดลบ 1.10 จุดรับแรงขาย DELTA-SCGP - อาร์วายที9
Read More

Monday, January 23, 2023

ปชช.แห่ลงทะเบียนแก้หนี้บัตรเครดิตออนไลน์ พุ่ง 75% - กรุงเทพธุรกิจ

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2566 นายพรชัย ฐีระเวช ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดให้มีการลงทะเบียนเพื่อขอแก้ไขหรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย.65 - 31 ม.ค.66 โดยปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมมากกว่า 180,000 ราย คิดเป็นจำนวนรายการสะสมประมาณ 400,000 รายการ โดยลูกหนี้ส่วนใหญ่ที่ลงทะเบียนอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คิดเป็นร้อยละ 35 ของลูกหนี้ที่ลงทะเบียนทั้งหมด

ขณะที่ผลการจัด “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 20 - 22 มกราคม 2566  จังหวัดชลบุรีที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากประชาชน ผู้ประกอบการ รวมทั้งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจำนวนมาก โดยมีจำนวนรายการที่ขอรับบริการภายในงานกว่า 5,000 รายการ
 

ทั้งนี้ ผลของการจัดงานมหกรรมประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และได้รับความสนใจจากประชาชนและผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยมีรายการที่ขอรับบริการภายในงานกว่า 5,000 รายการ ประกอบด้วยการขอแก้ไขปัญหาหนี้สินที่มีอยู่เดิมกว่า 1,800 รายการ จำนวนเงินประมาณ 1,900 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าครั้งที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี ส่วนหนึ่งเกิดจากการบูรณาการระหว่างกระทรวงการคลังและกระทรวงศึกษาธิการที่ประชาสัมพันธ์ให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ประสบปัญหาสามารถเข้าร่วมงานมหกรรมเพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ รองลงมา คือ

  • การขอรับคำปรึกษาด้านการเงินและแนวทางในการประกอบอาชีพกว่า 1,200 รายการ จำนวนเงินประมาณ 400 ล้านบาท
  • การขอสินเชื่อเพิ่มเติมกว่า 800 รายการ จำนวนเงินประมาณ 1,600 ล้านบาท
  • ผลิตภัณฑ์เงินฝากเพื่อส่งเสริมการออมกว่า 200 รายการ จำนวนเงินประมาณ 35 ล้านบาท

การเข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การตรวจข้อมูลเครดิต การขาย NPA ของทั้งสถาบันการเงินและบริษัทเอกชน การขอคำแนะนำผ่านสมาคมพิโกไฟแนนซ์ประเทศไทย เป็นต้น ประมาณ 1,000 รายการ

สำหรับการจัดงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” สัญจรครั้งสุดท้าย คือ ครั้งที่ 5 จะจัดขึ้นที่จังหวัดสงขลา วันที่ 27 – 29 มกราคม 2566 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา จึงขอเชิญชวนประชาชนหรือผู้ประกอบการที่สนใจให้เข้าร่วมงานโดยสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานมหกรรมสัญจรได้ทาง เว็บไซต์ มหกรรมร่วมใจแก้หนี้

QR Code สำหรับลงทะเบียนแก้ไขหรือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ออนไลน์ ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

1. สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ โทร. 02 202 1868 หรือ 02 202 1961

2. ธนาคารออมสิน โทร. 02 299 8000 หรือสายด่วน 1115

3. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02 111 1111

4. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร. 02 555 0555

5. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร. 02 645 9000

6. ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร. 02 265 3000 หรือสายด่วน 1357

7. ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย โทร. 02 169 9999

8. ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร. 02 650 6999 หรือสายด่วน 1302

9. บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร. 02 890 9999

Adblock test (Why?)


ปชช.แห่ลงทะเบียนแก้หนี้บัตรเครดิตออนไลน์ พุ่ง 75% - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

“ซาบีน่า” รุกแตกไลน์ชุดชั้นใน ชิงตลาดเอาท์เตอร์แวร์ 7 หมื่นล. - ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 – “ซาบีน่า” แตกไลน์มากกว่าใน พร้อมลงสมรภูมิเอาท์แวร์วีเมน ชิตลาดก่อนใหญ่มากกว่า 7 หมื่นล้านบาท สร้างการเติบโตที่เดิมมาจากตลาดชุดชั้นในที่มีมูลค่าตลาดเพียงแค่ 2 หมื่นกว่าล้านบาทเท่านั้น พร้อมรุกต่างประเทศเต็มตัว

นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชุดชั้นในแบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะขยายธุรกิจในส่วนผลิตภัณฑ์แบรนด์ซาบีน่ามากขึ้นให้เป็นมากกว่าผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในหรืออินเนอร์แวร์ ด้วยการขยายตลาดสินค้ากลุุ่มใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นเอาท์ แวร์ ชุดนอน ชุดว่ายน้ำ แอสเซสซอรี่ เครื่องหอม อื่นๆที่เกี่ยวข้อง

เนื่องจากในตลาดรวมของเครื่องแต่งกายผู้หญิงนั้น เซ็กเมนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดคือ เอาท์แวร์ ประมาณ 70,877 ล้านบาท สัดส่วนมากถึง 74.38% ขณะที่ ตลาดเซ็กเมนต์อินเนอร์แวร์หรือชุดชั้นใน มีมูลค่าห่างกันมากเพียง 22,236 ล้านบาท มีสัดส่วนเพียง 23.34% เท่านั้น ส่วนอีก2เซ็กเมนต์นั้นเล็กมากคือ ชุดว่ายน้ำ มูลค่า 1,659 ล้านบาท สัดส่วน 1.74% และชุดนอน มูลค่า 511 ล้านบาท สัดส่วนแค่ 0.54%
 


โดยที่ซาบีน่าเป็นผู้นำในตลาดชุดชั้นในแบรนด์ไทยอยู่แล้ว ด้วยส่วนแบ่งตลาดรวมมากกว่า 12.80% แต่เป็นที่สองในตลาดรวมชุดชั้นใน ห่างจากผู้นำตลาดไม่มากนัก ซึ่งในตลาดรวมชุดชั้นใน แบ่งเป็น มีแบรนด์ 50% และที่ไม่มีแบรนด์หลัก 50% ซึ่งซาบีน่ายังมีโอกาสต่อยอดได้อีกมาก นอกจากนั้นจะทำการผลิตสินค้าที่เกี่ยวกับความยั่งยืนประมาณ 5% จากจำนวนสินค้าทั้งหมดด้วย

รวมทั้งการขยายตลาดต่างประเทศแบบจริงจังมากขึ้น ทั้งในรูปแบบช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยผ่านดิสทริบิวเตอร์ที่แต่งตั้งในแต่ละตลาด เน้นที่ตลาดเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน ที่เริ่มไปบ้างแล้วเช่น ที่กัมพููชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์
ปีนี้จะใช้งบลงทุนทางด้านการผลิตประมาณ 50 ล้านบาท และงบการตลาด 5%-10% จากยอดขาย เปิดร้านใหม่ประมาณ 5 สาขา จากขณะนี้ที่มี 526 สาขา

ทั้งนี้ปีนี้ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% จากปีก่อน โดยรายได้ยอดขายในปีนี้จะสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากก่อนวิกฤตโควิด-19 เมื่อปี พ.ศ. 2562 ที่เคยทำไว้ที่ 3,295 ล้านบาท ปัจจุบัน SABINA มีรายได้จากช่องทางขาย 3 ช่องทาง โดยในปีที่ผ่านมา ช่องทางค้าปลีกมีสัดส่วนเมื่อเทียบกับรายได้มากที่สุดโดยอยู่ที่ 65% ของรายได้ ขณะที่ช่องทางออนไลน์อยู่ที่ 25% และช่องทาง OEM อยู่ที่ 10%

ปีนี้บริษัทฯ ยังคงมีเป้าหมายที่จะรักษาสัดส่วนรายได้จากการทั้ง 3 ช่องทางไว้ และสร้างการเติบโตของทุกช่องทางได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนของช่องทางการค้าปลีก ซึ่งได้ผลเชิงบวก จากการผ่อนคลายนโยบายโควิด 19 ของประเทศจีน และปริมาณของนักท่องเที่ยว ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการปรับแผนเตรียมรับการเติบโต ทั้งในเรื่องปริมาณสินค้า และจุดให้บริการอย่างพร้อมเพียง ทั้งนี้ ได้มีแผนรองรับการขยายตัวของช่องทางออนไลน์ และ รับจ้างผลิต เช่นกัน เพื่อให้โครงสร้างรายได้มีความยืดหยุ่นและเป็นโครงสร้างรายได้ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกให้กับงบการเงินโดยรวมของ SABINA แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอีกด้วยโดยรายได้ช่วง9เดือนแรกปี21565เติบโจตจากขาวงเดยวหปีก่อนหนา 26.9%


นางสาวดวงดาว กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนสำคัญมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากความมั่นใจของผู้บริโภคและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคักขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ ซึ่งสินค้าของ SABINA อิงกับกำลังซื้อในประเทศเป็นหลัก ทำให้บริษัทฯ ได้รับปัจจัยบวกจากสถานการณ์ดังกล่าวอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน SABINA ยังมีแผนออกสินค้าคอลเลคชั่นใหม่อย่างต่อเนื่องในปีนี้ เพื่อเพิ่มความหลากหลายและครอบคลุมความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

ล่าสุดเปิดตัวหนังโฆษณาใหม่พร้อมกันทุกช่องทางในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2566 โดยพรีเซนเตอร์หลักยังคงเป็น “ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์” สำหรับจุดเด่นของภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้อยู่ที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากข้อมูลเชิงลึก (insight) จากกลุ่มผู้บริโภค ที่พบว่า ช่วงโควิดตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคใช้ชีวิตอยู่บ้านหรือทำงานที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ จนรู้สึกเสพติดความสบาย และตามหาความสบายเหมือนไม่ได้สวมใส่บรา จนเกิดเป็นนวัตกรรมที่ “ซาบีน่า” ค้นคว้าและวิจัย จนออกมาเป็น “นวัตกรรม SABINA BRALESS สบายเหมือนไม่ได้ใส่บรา” โดยชู 3 นวัตกรรมหลัก คือ เบา (Skin Light) นุ่ม (Cloud on) และเย็น (Air Flow)

Adblock test (Why?)


“ซาบีน่า” รุกแตกไลน์ชุดชั้นใน ชิงตลาดเอาท์เตอร์แวร์ 7 หมื่นล. - ผู้จัดการออนไลน์
Read More

Sunday, January 22, 2023

ภาวะตลาดทองแดงนิวยอร์ก: ทองแดงปิดบวก 0.5% - อาร์วายที9

สัญญาทองแดงตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (20 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ รวมทั้งความหวังที่ว่าการเปิดประเทศของจีนจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและความต้องการใช้ทองแดง

สัญญาทองแดงตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 2 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 4.2515 ดอลลาร์/ปอนด์ และตลอดทั้งสัปดาห์ สัญญาทองแดงปรับตัวขึ้น 0.8%

สัญญาทองแดงได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.04% แตะที่ 102.0160 เมื่อวันศุกร์

ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาทองแดงซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ

ภาวะการซื้อขายในตลาดทองแดงยังได้ปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศของจีน รวมทั้งความหวังที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมเดือนก.พ. หลังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ต่างบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว


Adblock test (Why?)


ภาวะตลาดทองแดงนิวยอร์ก: ทองแดงปิดบวก 0.5% - อาร์วายที9
Read More

หุ้นไทยภาคบ่าย ปิดตลาด 1,677.25 จุด ลบ -11.23 จุด หรือ -0.67% - กรุงเทพธุรกิจ

5 อันดับ หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด คือ KBANK ปิดที่ 144.50 บาท ลดลง -9.00 บาท, BBL ปิดที่ 151.50 บาท ลดลง -3.00 บาท, SCB ปิดที่ 108.50 บาท ลดลง -2.50 บาท, BANPU ปิดที่ 12.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท และ PTT ปิดที่ 33.25 บาท ลดลง -0.25 บาท

Adblock test (Why?)


หุ้นไทยภาคบ่าย ปิดตลาด 1,677.25 จุด ลบ -11.23 จุด หรือ -0.67% - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

ส.อ.ท. ขอค่าไฟงวดใหม่ไม่เกิน 5 บาท จี้ “พลังงาน” โชว์กำลังผลิตก๊าซในอ่าวไทย - กรุงเทพธุรกิจ

Friday, January 20, 2023

ทองคำนิวยอร์กปิดบวก $4.3 ขานรับแนวโน้มเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (20 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลออัตราการปรับขึ้นดอกเบี้ย

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 4.3 ดอลลาร์ หรือ 0.22% ปิดที่ 1,928.2 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวขึ้น 0.3% ในรอบสัปดาห์นี้ซึ่งเป็นการบวกขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกัน และยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2563

  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 6.5 เซนต์ หรือ 0.27% ปิดที่ 23.935 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้น 6.7 ดอลลาร์ หรือ 0.64% ปิดที่ 1,047.8 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 45.30 ดอลลาร์ หรือ 2.6% ปิดที่ 1,723.20 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาทองคำปรับตัวขึ้น หลังนายแพตทริก ฮาเคอร์ ประธานเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยในวันศุกร์ว่า เขาคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% นั้นเหมาะสม หลังเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกในปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้แรงหนุนจากการที่บรรดานักลงทุนเริ่มวิตกเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านการปล่อยสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ และการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ

สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยในวันศุกร์ว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 1.5% สู่ระดับ 4.02 ล้านยูนิตในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2553 แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.96 ล้านยูนิต โดยเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน

เมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านดิ่งลง 34.0% ในเดือนธ.ค. โดยยอดขายบ้านมือสองได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาบ้านและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง

นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังปรับตัวขึ้นจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งแรกของปีนี้

นักลงทุนให้น้ำหนักเกือบ 100% ในการคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นการประชุมนโยบายการเงินนัดแรกของเฟดในปีนี้ หลังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐต่างบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.2% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. หลังจากที่ก่อนหน้านี้ให้น้ำหนัก 76.7%

ทั้งนี้ การชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ๆ

นอกจากนี้ ราคาทองยังได้ปัจจัยบวกในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ซึ่งแม้เงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลาง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 ม.ค. 66)

Tags: , ,

Adblock test (Why?)


ทองคำนิวยอร์กปิดบวก $4.3 ขานรับแนวโน้มเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์
Read More

Thursday, January 19, 2023

สรุปหุ้นเด่นทางพื้นฐาน (20/01/66) - efinanceThai

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ TOP 62 แนวโน้มตัวเลขการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของจีนในเดือน ม.ค. 66 ที่คาดลดลงเร็วจากอุปสงศ์ในประเทศสูง คาดจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนค่าการกลั่นเพิ่มขึ้น ผสานกับการเปิดประเทศจะเพิ่มความต้องการในการใช้ปิโตรเคมีมากขึ้นเช่นกัน หนุน PX Spread ฟื้นช่วงถัดไป WICE 22.1 แม้คาดแนวโน้มกำไร 4Q65 จะอ่อนตัว YoY จากฐานสูง แต่กำไรรวม 65 ยังสามารถทำ All Time High ผสานกับล่าสุด บริษัทอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืน เพิ่มจิตวิทยาบวก อีกทั้งValuation ปัจจุบันซื้อขายเพียง PE 11.4 เท่า ซึ่งมีส่วนลดจากกลุ่มที่ 19.9 เท่า น่าทยอยสะสม บล.กรุงศรี หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ AP 14.3 ยอดเปิดตัวโครงการใหม่พุ่งทำสถิติสูงสุดใน 4Q22 ขณะที่ยอด Presale เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และคาดมีกำไรสุทธิ 4Q22 ประมาณ 1.2 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 22%yoy TOP 65 ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นค่าการกลั่นฟื้นตัวตามดีมานด์พลังงานที่สูงขึ้นหลังจีนเปิดประเทศ และยังมีปัจจัยหนุนจากข่าว โรงกลั่น& ปิโตรฯ ในประเทศจีนระเบิด บล.ฟินันเซีย ไซรัส หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ CPN 82 คาดกำไร 4Q22 -1% q-q, +57% y-y หนุนจากการ Reopening ทำให้ Traffic เข้าห้างกลับมาสู่ภาวะปกติ และส่วนลดค่าเช่าที่ทยอยลดลง แต่คาดมีค่าใช้จ่าย SG&A สูงขึ้นและกดดันการเติบโตเล็กน้อยและชั่วคราว จบปี 2022 คาดกำไร +51% y-y บล.ดาโอ (ประเทศไทย) หุ้น ราคาพื้นฐาน(บาท) คำแนะนำ/ประเด็นที่สำคัญ AU 13.5 รายได้ฟื้นชัดนับจาก 2H22, SSSG ร้านขนมกาแฟหนุน ลุ้นกำไร 4Q22E โตเด่นทั้ง YoY และ QoQ สำหรับปี ‘23จีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาดเป็น Bonus โดย Consensus ประเมินรายได้ปี ‘23เฉลี่ยที่ 1.18 พัน ลบ. +25%YoY ใกล้เคียงและมีโอกาสมากกว่าช่วง Pre-Covid (‘19)

Adblock test (Why?)


สรุปหุ้นเด่นทางพื้นฐาน (20/01/66) - efinanceThai
Read More

ปิดตลาดฯวันนี้ AOT-DELTA-PTTEP ดันดัชนีฯ ยืนในแดนบวก - efinanceThai

ปิดตลาด TFEX ช่วงกลางคืน วันที่ 19 ม.ค. 66 สินค้า Mini Gold Futures มีปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาด 4,547 สัญญา

19 มกราคม 2566 08:10

Adblock test (Why?)


ปิดตลาดฯวันนี้ AOT-DELTA-PTTEP ดันดัชนีฯ ยืนในแดนบวก - efinanceThai
Read More

Wednesday, January 18, 2023

MEB ประกาศความพร้อมเข้าตลาด mai ไตรมาส 1/66 ขายไอพีโอไม่เกิน 75.5 ล้านหุ้น - อาร์วายที9

MEB ประกาศความพร้อมเข้าตลาด mai ไตรมาส 1/66 ขายไอพีโอไม่เกิน 75.5 ล้านหุ้น นำเงินขยายธุรกิจ-พัฒนาแพลตฟอร์ม-เงินทุนหมุนเวียน

บมจ.เมพ คอร์ปอเรชั่น (MEB) ผู้นำในการประกอบธุรกิจจำหน่ายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) จัดจำหน่ายอุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Reader) และธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มระบบห้องสมุดดิจิทัลสำหรับองค์กร (Hibrary) ของเมืองไทย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเซ็นทรัล รีเทล พร้อมเดินหน้าเข้าระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จ่อขายหุ้นไอพีโอจำนวนไม่เกิน 75.5 ล้านหุ้น ภายในไตรมาส 1/66 นี้ ระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจที่อยู่ในแพลตฟอร์มปัจจุบัน และใช้สำหรับการขยายธุรกิจใหม่ๆ พร้อมกับปรับปรุงพัฒนาแพลตฟอร์มและเป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง

นายรวิวร มะหะสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมพ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ" หรือ "MEB") ในฐานะผู้นำธุรกิจจำหน่ายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) ผ่านแพลตฟอร์ม meb และ readAwrite ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับอ่านวรรณกรรมออนไลน์ระดับแนวหน้าของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความพร้อมในการเดินหน้าระดมทุนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 75.5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.5 บาทต่อหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 25.17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนของ MEB เป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ MEB ดำเนินธุรกิจจำหน่ายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) ผ่านเว็บไซต์ www.mebmarket.com และ www.readAwrite.com และแอปพลิเคชัน meb และ readAwrite บนระบบปฏิบัติการต่างๆ ซึ่งทั้ง 2 แพลตฟอร์มมีวรรณกรรมออนไลน์ที่จัดจำหน่ายที่แตกต่างกันดังนี้ 1.แพลตฟอร์ม meb จำหน่ายวรรณกรรมออนไลน์ที่มีความหลากหลายจากสำนักพิมพ์และเจ้าของผลงานอิสระ เช่น นิยาย หนังสือทั่วไป (non-fiction) การ์ตูน นิตยสาร และหนังสือพิมพ์ เป็นต้น โดยมีการจำหน่ายวรรณกรรมเป็นเล่มและเป็นชุด ขณะที่ แพลตฟอร์ม readAwrite เป็นแพลตฟอร์มสำหรับชุมชนนักเขียน-นักอ่าน โดยให้สมาชิกสามารถโพสต์คอนเทนต์หรือเนื้อหาได้ด้วยตัวเอง (User Generated Content หรือ "UGC") โดยเจ้าของผลงานสามารถเลือกที่จะจำหน่ายผลงานของตัวเอง และ/หรือ ให้นักอ่าน Donate ให้เพื่อเป็นการสนับสนุน โดยลักษณะเนื้อหาจะเป็นการนำเสนอนิยายเป็นตอนและนิยายแชท

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ การจัดจำหน่ายอุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Reader) และ ธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มระบบห้องสมุดดิจิทัลสำหรับองค์กร (Hibrary) โดยผู้ใช้บริการสามารถสร้างห้องสมุดดิจิตอลของตัวเอง และเผยแพร่วรรณกรรมให้แก่บุคคลากรในองค์กร โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐ บริษัทเอกชน และโรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งดำเนินงานผ่านบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้แก่ บริษัท ไฮเท็คซ์ อินเตอร์แอคทีฟ จำกัด ("Hytexts")

"บริษัทฯ เป็นผู้นำในด้านการประกอบธุรกิจจำหน่ายวรรณกรรมออนไลน์ในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับหนึ่งเมื่อพิจารณาจากรายได้รวม ซึ่งบริษัทฯ เชื่อว่าความสำเร็จของบริษัทฯ เกิดจากการมีแพลตฟอร์มที่สามารถเข้าถึงและใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังมีเนื้อหาสำหรับทุกกลุ่มเป้าหมายของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา พนักงานออฟฟิศ ผู้สูงวัย หรือแม้แต่นักลงทุน และนักธุรกิจ เป็นต้น โดยบริษัทฯ เชื่อว่าแพลตฟอร์มของบริษัทฯ ได้รับการยอมรับและเชื่อมั่นจากผู้ใช้บริการและเจ้าของผลงาน ในธุรกิจจำหน่ายวรรณกรรมออนไลน์อย่างกว้างขวาง ในความเป็นหนึ่งทั้งด้านการบริการ ด้านคุณภาพ ด้านความหลากหลาย ด้านความสะดวกสบายในการเข้าถึง และด้านความคุ้มค่าของวรรณกรรมที่มีการจำหน่ายอยู่บนแพลตฟอร์ม ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา"

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องในปี 2562 - 2564 และงวด 9 เดือนของปี 2565 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมเท่ากับ 618.72 ล้านบาท 1,004.68 ล้านบาท 1,456.38 ล้านบาท และ 1,263.54 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 82.09 ล้านบาท 164.74 ล้านบาท 275.34 ล้านบาท และ 241.85 ล้านบาท ตามลำดับ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MEB กล่าวอีกว่า การเข้าระดมทุนเพื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตในอนาคตอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ นำเงินที่ได้รับไปใช้สำหรับการขยายธุรกิจที่อยู่ในแพลตฟอร์มปัจจุบัน ประกอบด้วย meb readAwrite และ Hytexts โดยการเพิ่มเนื้อหาวรรณกรรมออนไลน์ ทั้งจากการซื้อลิขสิทธิ์วรรณกรรมประเภทนิยาย และประเภทอื่นที่ไม่ใช่นิยาย และใช้สำหรับการขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจปัจจุบัน และท้ายสุดใช้ในการปรับปรุงพัฒนาแพลตฟอร์มปัจจุบันให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคงต่อไป


Adblock test (Why?)


MEB ประกาศความพร้อมเข้าตลาด mai ไตรมาส 1/66 ขายไอพีโอไม่เกิน 75.5 ล้านหุ้น - อาร์วายที9
Read More

Tuesday, January 17, 2023

ทองปิดร่วง 11.8 ดอลลาร์ จากแรงขายทำกำไร - ฮั่วเซ่งเฮง

.

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบในวันอังคาร (17 ม.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการที่นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาทองคำพุ่งขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 11.8 ดอลลาร์ หรือ 0.61% ปิดที่ 1,909.9 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 30.4 เซนต์ หรือ 1.25% ปิดที่ 24.068 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 25.6 ดอลลาร์ หรือ 2.39% ปิดที่ 1,046.9 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. ร่วงลง 53.30 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 1,734 ดอลลาร์/ออนซ์

ชินแทน คานามี นักวิเคราะห์จากบริษัท Insignia Consultants กล่าวว่า นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาทองคำพุ่งขึ้นติดต่อกัน 3 วันทำการ และตลอดสัปดาห์ที่แล้ว สัญญาทองคำพุ่งขึ้นทั้งสิ้น 2.8% โดยปัจจัยหนุนส่วนใหญ่มาจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) บ่งชี้ว่าเงินเฟ้อในสหรัฐได้ผ่านจุดสูงสุดแล้ว

คานามียังกล่าวด้วยว่า นักลงทุนชะลอการซื้อขายทองคำเมื่อคืนนี้ ก่อนที่จะรู้ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันนี้ รวมทั้งการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ประจำเดือนธ.ค.ของสหรัฐในวันนี้เช่นกัน

นอกจากนี้ คานามีกล่าวว่า นักลงทุนจับตาความต้องการทองคำของจีนในช่วงเทศกาลตรุษจีน และทุกสัญญาณบ่งชี้จากที่ประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ที่มา  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Adblock test (Why?)


ทองปิดร่วง 11.8 ดอลลาร์ จากแรงขายทำกำไร - ฮั่วเซ่งเฮง
Read More

PTTEP ตั้งบ.ย่อย "เอสทูโรโบติกส์ " ให้บริการซ่อมท่อใต้ทะเลด้วยหุ่นยนต์ - อาร์วายที9

บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) เปิดเผยว่า บริษัทจัดตั้งบริษัทย่อยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ ได้แก่ บริษัท เอสทูโรโบติกส์ จำกัด จัดตั้งด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญจำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดย บริษัท โรวูล่า (ประเทศไทย) จำกัด (บริษัทย่อยของ ปตท.สผ.) ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริการซ่อมแซมท่อใต้ทะเลโดยใช้หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์ Nautilus ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงและระยะเวลาในการซ่อมแซมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการสร้างความสามารถในการแข่งขันและหาโอกาสในการพัฒนาธุรกิจใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ ปตท.สผ.


Adblock test (Why?)


PTTEP ตั้งบ.ย่อย "เอสทูโรโบติกส์ " ให้บริการซ่อมท่อใต้ทะเลด้วยหุ่นยนต์ - อาร์วายที9
Read More

Monday, January 16, 2023

รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. รับตรุษจีน ลุยแก้หนี้ ฟื้นกิจการ SMEs ชลบุรี 20-22 ม.ค. 66 - ทำเนียบรัฐบาล

16/01/2566 พิมพ์  

บสย. รับตรุษจีน ลุยแก้หนี้ ฟื้นกิจการ SMEs ชลบุรี 20-22 ม.ค. 66

บสย. พร้อมช่วย ลุยแก้หนี้ SMEs ชลบุรี ในงาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 4 ระหว่าง วันที่ 20-22 มกราคม 2566 ณ ศาลาประชาคม เทศบางเมืองบ้านสวน จังหวัดชลบุรี

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า งาน “มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ : มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ครั้งที่ 4 จังหวัดชลบุรี ได้เชิญผู้ประกอบการ SMEs ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและใกล้เคียงเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งจะเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการ SMEs และภาคธุรกิจที่อยู่ในพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนเข้าที่กำลังต้องการขอคำปรึกษาทางการเงินเข้าร่วมงาน

ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ทั้งที่เป็นลูกค้า บสย. ในปัจจุบัน และที่สนใจจะใช้บริการค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย. เพื่อให้ได้รับโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น ลูกค้าค้ำประกันกับ บสย. ที่ต้องการเข้าร่วมโครงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่ง บสย. ได้เตรียมแพคเกจ  บสย. พร้อมช่วย “ผ่อนน้อย เบาแรง” ช่วยบรรเทาภาระการผ่อนชำระ 3 ระดับตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า มาให้คำแนะนำ พร้อมเงื่อนไข ผ่อนชำระที่ตอบโจทย์ และช่วยพยุงธุรกิจให้ลูกหนี้พร้อมไปต่อ อาทิ  ตัดต้นก่อนตัดดอก ที่ช่วยให้หนี้ลด หมดหนี้เร็วขึ้น  หรือ ดอกเบี้ย 0% เน้นตัดเงินต้น และระยะเวลาผ่อนนาน 7 ปี ช่วยให้ลูกหนี้กลับมาตั้งตัวและพยุงธุรกิจต่อไปได้  โดย บสย. ได้เปิดช่องทางลงทะเบียน  ขอรับคำปรึกษาล่วงหน้าและขอตรวจสุขภาพการเงิน ได้ที่ LINE @tcgfirst

พบกับบูธ บสย. และ  บสย. F.A. Center ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs ระหว่าง 20-22 ม.ค. 2566 เวลา 10.00 -18.00 น. ณ ศาลาประชาคม เทศบาลเมืองบ้านสวน จังหวัดชลบุรี

Adblock test (Why?)


รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. รับตรุษจีน ลุยแก้หนี้ ฟื้นกิจการ SMEs ชลบุรี 20-22 ม.ค. 66 - ทำเนียบรัฐบาล
Read More

Sunday, January 15, 2023

ส่องเลย 6 หุ้นเด่นวันนี้ ! ตัวไหนปันผลแจ่ม - NationTV

นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์  ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทย กล่าวกับ Nation Online ว่า หุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบ 1,606-1,691 จุด โดยโฟกัสใน 3 ประเด็นหลักคือ การประกาศตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/65 ของจีน คาดว่าอยู่ที่ 1.8%YOY  และโต 3.9% หากเทียบไตรมาส 365 ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ และการประกาศงบไตรมาส 4/65 ของบริษัทจดทะเบียน

นำโดยกลุ่มแบงก์(ครอบคุลม 7 แบงก์ประกอบด้วย BBL, KKP,KTB,BBL ,TTB,SCB,TISCO) คาดกำไรสุทธิ 4.5 หมื่นล้านบาท โต 40% YOY และโต 7% QOQ จากสินเชื่อขยายตัวดีในช่วงไตรมาส 4 หลังโควิดคลี่คลายธุรกิจเริ่มกลับมาให้บริการอีกครั้ง

ส่วนปัญหาเงินเฟ้อคาดว่าผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ประกอบกับความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยจะเกิดภาวะถดถอยนั้นน้อยกว่าประเทศอื่น เนื่องจากการดำเนินนโยบายการเงินยังเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่เหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ที่เร่งขึ้นดอกเบี้ยคุมเงินเฟ้อ

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันแม้ต่างชาติซื้อสุทธิ 1.7 หมื่นล้านบาท แต่สถาบันขายสุทธิ 9.5 พันล้านบาท รายย่อยขายสุทธิ์ 8.9 ล้านบาท ส่วนบัญชีบล.ซื้อสุทธิ 1.1 พันล้านบาท

สำหรับธีมการลงทุนนั้นเน้นหุ้นได้ประโยชน์จากจีนเปิดประเทศ เช่น SNNP,DDD,BCH, EKH, และ PR9 เป็นต้น หุ้นที่คาดว่ากำไรไตรมาส 4/65 เติบโต เช่น SABINA, SHR และหุ้น   Anti Commodities เช่น SSP และวัสดุก่อสร้าง เช่น TOA  ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ  SSP ([email protected])  TOA ([email protected]) และ MAKRO ([email protected])

Adblock test (Why?)


ส่องเลย 6 หุ้นเด่นวันนี้ ! ตัวไหนปันผลแจ่ม - NationTV
Read More

ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16 ม.ค.2566 อัปเดตจาก 4 ปั๊ม - สยามรัฐ

วันที่ 16 ม.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงาน การอัปเดตราคาน้ำมันทุกชนิด จากปั้ม ปตท.,บางจาก ,PT และ เชลล์ ล่าสุด มีราคาดังนี้ (อัปเดตข้อมูล ณ วันที่ 14 มกราคม 2566 เวลา 05.00 น.)

ราคาน้ำมันปั๊ม "ปตท."

-แก๊สโซฮอล์ 95 : ราคา 35.25 บาท/ลิตร
-แก๊สโซฮอล์ E20 : ราคา 33.34 บาท/ลิตร
-แก๊สโซฮอล์ E85 : ราคา 33.79 บาท/ลิตร
-แก๊สโซฮอล์ 91 : ราคา 34.98 บาท/ลิตร
-ซูเปอร์พาวเวอร์ แก๊สโซฮอล์ 95 : ราคา 40.74 บาท/ลิตร
-เบนซิน 95 : ราคา 42.66 บาท/ลิตร
-ดีเซล B7 : ราคา 34.94 บาท/ลิตร
-ดีเซล ราคา : 34.94 บาท/ลิตร
-ดีเซลหมุนเร็ว B20 : ราคา 34.94 บาท/ลิตร
-ดีเซล พรีเมี่ยม  : ราคา 43.66 บาท/ลิตร

ราคาน้ำมันปั๊ม "บางจาก"

-แก๊สโซฮอล์ 95 ราคา 35.25 บาท/ลิตร
-แก๊สโซฮอล์ E20 ราคา 33.34 บาท/ลิตร
-แก๊สโซฮอล์ E85 ราคา 33.79 บาท/ลิตร
-แก๊สโซฮอล์ 91 ราคา 34.98 บาท/ลิตร
-ดีเซล B7 ราคา 34.94 บาท/ลิตร
-ดีเซลพรีเมี่ยม ราคา 43.66 บาท/ลิตร
-ดีเซลหมุนเร็ว B20 ราคา 34.94 บาท/ลิตร
-ดีเซล ราคา 34.94 บาท/ลิตร


ราคาน้ำมันปั๊ม  PT

-เบนซิน ราคา 43.16บาท/ลิตร
-แก๊สโซฮอล์ 95 ราคา 35.25 บาท/ลิตร
-แก๊สโซฮอล์ E20 ราคา 33.34 บาท/ลิตร
-แก๊สโซฮอล์ 91 ราคา 34.98 บาท/ลิตร
-ดีเซล B7 ราคา 34.94 บาท/ลิตร
-ดีเซล  ราคา 34.94 บาท/ลิตร

ราคาน้ำมันปั๊ม เชลล์

เชลล์ ฟิวเซฟ แก๊สโซฮอล์ E20 ราคา 33.64 บาท/ลิตร
ราคาน้ำมันเชลล์ ฟิวเซฟ แก๊สโซฮอล์ 91 ราคา 35.28 บาท/ลิตร
เชลล์ ฟิวเซฟ แก๊สโซฮอล์ 95 ราคา 35.55 บาท/ลิตร
เชลล์ ดีเซล B20 ราคา 35.54 บาท/ลิตร
เชลล์ ฟิวเซฟ ดีเซล ราคา 35.54 บาท/ลิตร
เชลล์ ฟิวเซฟ ดีเซล B7 ราคา 35.54 บาท/ลิตร
เชลล์ วี-เพาเวอร์ ดีเซล ราคา 35.54 บาท/ลิตร
เชลล์ วี-เพาเวอร์ ดีเซล B7 ราคา 44.26 บาท/ลิตร

ที่มา:http://www.eppo.go.th/

Adblock test (Why?)


ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16 ม.ค.2566 อัปเดตจาก 4 ปั๊ม - สยามรัฐ
Read More

Saturday, January 14, 2023

เชือด 'บล.เอเชียเวลท์' พบเส่อแววมีปัญหาสภาพคล่องมิ.ย.63 ก.ล.ต.ปรับ 5.29 ลบ. - กรุงเทพธุรกิจ

 ปัญหาลูกโซ่กรณี หุ้นMORE  หรือ 'บมจ. มอร์ รีเทิร์น' ที่มีการส่งคำสั่งซื้อขายที่ราคาเปิด จำนวนมาก1,500 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.90 บาท คิดเป็นมูลค่าราว 4,300 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2565  จนทำให้นักลงทุนที่คีย์คำสั่งซื้อ ไม่สามารถชำระค่าซื้อหุ้นได้

ดังนั้นทำให้บริษัทหลักทรัพย์(บล.)หรือโบรกเกอร์ ฝั่งผู้ซื้อประมาณ 10 แห่ง ต้องควักเงินของบล.นำไปชำระค่าซื้อหุ้นแทนลูกค้า  ซึ่งหนึ่งโบรกเกอร์ที่ประสบปัญหาสภาพคล่องหนักสุด คือ บล.เอเชีย เวลท์  ตัดสินใจนำเงินบัญชีเพื่อลูกค้า มูลค่า 157.99 ล้านบาท โดยที่ลูกค้าไม่ยินยอม ไปชำระค่าซื้อหุ้น MOREแทนลูกค้าที่สั่งคำสั่งซื้อที่ไม่สามารถจ่ายเงินค่าซื้อหุ้นได้

ส่งผลให้คณะกรรมกำกับตลาดทุน (ก.ต.ท.)จึงสั่งบล.เอเชีย เวลท์ หยุดประกอบธุรกิจชั่วคราวจนกว่านำเงินมาคืนลูกค้าและจัดทำระบบงานเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก 

จากรณีดังกล่าวทำให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เข้าไปตรวจสอบบล.เอเชีย เวลท์ เชิงลึก พบมีปัญหาในเรื่องของระบบงานในการบริหารและจัดการความเสี่ยงด้านสภาพคล่องไม่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่มิ.ย.2563 จึงนำไปสู่การเปรียบเทียบปรับ

ทั้งนี้จากข้อมูลการบังคับใช้กฎหมาย ก.ล.ต.ได้เปรียบเทียบปรับ( บล.) เอเชีย เวลท์  จำนวน 4 กรณี  มูลค่ารวม   5,295,000 บาท   โดยกรณีแรก เปรียบเทียบปรับเป็นเงิน  2,110,000 บาท เนื่องจากระหว่างวันที่ 4 มิ.ย. 2563 ถึงวันที่ 31 พ.ค. 2564 บล. เอเชีย เวลท์ จำกัด กระทำการใดๆ อันมีลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายหรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าตามที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด โดยมีระบบงานในการบริหารและจัดการความเสี่ยงด้านสภาพคล่องไม่มีประสิทธิภาพ       

กรณีที่ 2 เปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 582,000 บาท  เนื่องจาก ระหว่างวันที่ 23 ก.พ. 2564 ถึงวันที่ 25 พ.ค. 2564 บล. เอเชีย เวลท์ จำกัด ในฐานะบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ดำรงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ประกาศกำหนด          

กรณีที่ 3  เปรียบเทียบปรับ 1,086,000 บาท    เนื่องจาก ระหว่างวันที่ 25 ก.พ. 2564 ถึงวันที่ 31 พ.ค. 2564  บล. เอเชีย เวลท์  ในฐานะบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ไม่ได้รายงานการคำนวณเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) เมื่อ บล. เอเชีย เวลท์ มี NC เท่ากับหรือน้อยกว่า 1.5 เท่าของ NC ขั้นต่ำที่ บล. เอเชีย เวลท์ ต้องดำรงไว้ และนำส่งรายงานการดำรง NC รายเดือนต่อสำนักงานไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง 

กรณีที่ 4  เปรียบเทียบปรับ 1,517,000 บาท  เนื่องจากระหว่างวันที่ 26 มี.ค. 2564 ถึงวันที่ 11 ก.พ.2565  บล. เอเชีย เวลท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ไม่ได้จัดทำและยื่นแผนการแก้ไขปัญหาการดำรงเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) ต่อสำนักงานภายในเวลาที่กำหนด และไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสำนักงานโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกำกับตลาดทุนในกรณีที่ไม่สามารถดำรง NC ได้ตามที่ประกาศกำหนด   

อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาสภาพคล่อง บล.เอเชีย เวลท์ ได้มีการขายและโอนพอร์ตลูกค้ารายย่อย ให้แก่ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน(ประเทศไทย)   เสร็จเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2565

Adblock test (Why?)


เชือด 'บล.เอเชียเวลท์' พบเส่อแววมีปัญหาสภาพคล่องมิ.ย.63 ก.ล.ต.ปรับ 5.29 ลบ. - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

บล.กสิกรฯ คาดดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้า 1,650-1,710 ลุ้นผลประกอบการกลุ่มแบงก์ : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์

บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยสำหรับสัปดาห์ถัดไป (16-20 ม.ค.66) มีแนวรับที่ 1,670 และ 1,650 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,700 และ 1,710 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 4/65 ของบจ.ไทย โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และสถานการณ์โควิดในจีน

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. ตลอดจนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOJ ดัชนีราคาผู้ผลิตและดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค. ของญี่ปุ่น ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค. ของยูโรโซน รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/65 และข้อมูลเศรษฐกิจเดือนธ.ค. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยย่อตัวลง หลังดีดตัวขึ้นช่วงต้นสัปดาห์ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ จากความคาดหวังว่าเฟดจะชะลอขนาดการปรับขึ้นดอกเบี้ย ประกอบกับมีแรงหนุนจากแรงซื้อต่อเนื่องของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ แบงก์ และเทคโนโลยี

อย่างไรก็ดี หุ้นไทยแกว่งตัวอิงขาลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ หลังจากตอบรับปัจจัยบวกไปพอสมควรทั้งประเด็นทิศทางดอกเบี้ยของเฟด และการเปิดประเทศของจีน ประกอบกับเผชิญแรงขายจากกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการขายทำกำไรของกองทุนลดหย่อนภาษีที่ครบกำหนด

ในวันศุกร์ (13 ม.ค.) ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,681.73 จุด เพิ่มขึ้น 0.47% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 78,526.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.53% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 2.41% มาปิดที่ระดับ 589.66 จุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ม.ค. 66)

Tags: ,

Adblock test (Why?)


บล.กสิกรฯ คาดดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้า 1,650-1,710 ลุ้นผลประกอบการกลุ่มแบงก์ : อินโฟเควสท์ - สำนักข่าวอินโฟเควสท์
Read More

Friday, January 13, 2023

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $22.9 รับอานิสงส์ดอลล์อ่อน-คาดเฟดชะลอขึ้นดบ. - อาร์วายที9

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 8 เดือนในวันศุกร์ (13 ม.ค.) และปิดเหนือระดับ 1,900 ดอลลาร์ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว โดยได้แรงหนุนจากการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังการเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐชะลอตัวลง และคาดว่าจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 22.9 ดอลลาร์ หรือ 1.21% ปิดที่ระดับ 1,921.7 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยเป็นการปิดตลาดเหนือระดับ 1,900 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย. และปิดตลาดสัปดาห์นี้บวก 2.8%

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 36.8 เซนต์ หรือ 1.53% ปิดที่ 24.372 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนเม.ย. ลดลง 11.8 ดอลลาร์ หรือ 1.09% ปิดที่ 1,072.5 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 3.60 ดอลลาร์ หรือ 0.2% ปิดที่ 1,787.30 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาทองคำได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง ซึ่งทำให้ทองคำมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ

ดัชนีดอลลาร์ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 เดือน หลังการเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เมื่อวันพฤหัสบดีบ่งชี้ว่า เงินเฟ้อในสหรัฐลดลงในเดือนธ.ค.เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีครึ่ง ซึ่งเพิ่มความหวังว่า เฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.08% สู่ระดับ 102.2110

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงช่วยหนุนราคาทองด้วย โดยจะลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้แรงหนุนจากแนวโน้มการซื้อทองคำเพิ่มขึ้นในจีนก่อนถึงเทศกาลวันหยุดตรุษจีน ซึ่งจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค.นี้


Adblock test (Why?)


ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $22.9 รับอานิสงส์ดอลล์อ่อน-คาดเฟดชะลอขึ้นดบ. - อาร์วายที9
Read More

Thursday, January 12, 2023

หุ้น 'บางจาก' พุ่งไม่หยุด หลังประกาศซื้อ ESSO นักวิเคราะห์ประเมิน Synergy สูงถึง 1.5-2 ล้านบาทต่อปี - workpointTODAY

เช้านี้ราคาหุ้น ‘บางจาก’ ก็ยังพุ่งไม่หยุด จากข่าวซื้อกิจการ ESSO ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะสร้าง Synergy ให้บริษัทสูงถึง 1.5-2 ล้านบาทต่อปี พร้อมแนะนำลงทุนต่อเนื่อง

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) หรือหุ้น ‘บางจาก’ วันนี้ (13 ม.ค. 2566) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 โดยเปิดตลาดหุ้นเพียงชั่วโมงเดียวก็บวกเกือบ 8% ไปแล้ว

แน่นอนว่าปัจจัยบวกมาจากข่าวที่บางจากประกาศเข้าซื้อหุ้น บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะทำให้เกิด Synergy ประมาณ 1.5-2 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยหลังประชุมนักวิเคราะห์ร่วมกับบริษัทว่า บอร์ด BCP อนุมัติการเข้าซื้อเอสโซ่ (ประเทศไทย) ในสัดส่วน 65.99%

เบื้องต้นทางบริษัทประเมินราคาซื้อขายอยู่ที่ราว 8.84-9.63 บาท และคาดว่าจะสรุปในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ ซึ่งผู้บริหารคาดว่าราคาซื้อขายจริงจะใกล้เคียงกับระดับราคาข้างต้น โดยจะไม่มีการเพิ่มทุน ส่วนแหล่งเงินทุนมาจากเงินสดและการกู้

ขณะที่สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) หลังการควบรวม คาดว่าจะอยู่ที่ 1.7 เท่า ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด และคาดว่าธุรกรรมทั้งหมดจะเสร็จสิ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

การควบรวมของทั้ง 2 บริษัท จะส่งผลให้กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 294 พันบาร์เรลต่อวัน (KBD) จากเดิม 120 KBD และมีจำนวนสถานีบริการน้ำมันอยู่ที่ 2,100 สถานี จากเดิม 1,320 สถานี ประกอบกับมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 29.1% (BCP 16.3% และ ESSO 12.8%)

บริษัทคาดว่าจะมี Synergy ราว 1.5-2 ล้านบาทต่อปี จากปัจจัยต่อไปนี้

1. การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหาน้ำมันดิบ เนื่องจากโรงกลั่นของ ESSO ตั้งอยู่ที่ศรีราชา และมีท่าเรือที่สามารถรองรับเรือขนส่งน้ำมันขนานใหญ่ (VLCC) ได้

2. เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผลิตภัณฑ์ และส่งผลให้ BCP สามารถลดการนำเข้าส่วนผสมของน้ำมันเบนซินได้

3. BCP สามารถบริหารสต็อกน้ำมันสำเร็จได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. คาดว่าจะส่งผลให้ บมจ.บีบีจีไอ (BBGI) มีช่องทางในการจำหน่าย B100 และเอทานอลได้มากขึ้น

ทางฝ่ายมองบวกต่อการเข้าซื้อ ESSO เนื่องจากระดับราคาซื้อขายที่ค่อนข้างถูก และไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุน โดยจะใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้และเงินสด

ประกอบกับการควบรวมดังกล่าวมี Synergy ค่อนข้างมาก และคาดว่าจะส่งผลให้มีอัพไซด์ต่อประมาณการณ์และราคาพื้นฐาน ทางฝ่ายยังคงแนะนำ ‘ซื้อ’

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) มองว่า หลัง BCP บรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อหุ้น 65.99% ในเอสโซ่ (ประเทศไทย) หนึ่งในผู้นำด้านการกลั่นปิโตรเลียมและค้าปลีกน้ำมันแบบครบวงจร จาก ExxonMobil Asia Holdings (ExxonMobil)

ดีลนี้จะดันให้ BCP ขึ้นแท่นผู้ประกอบการโรงกลั่นและการค้าปลีกน้ำมันขนาดใหญ่สุดในไทย ด้วยกำลังการผลิตรวม 294 KBD บวกกับสถานีบริการกว่า 2,100 แห่ง

การเข้าซื้อ ESSO ที่มูลค่าของกิจการ (EV) ระดับคงที่ 5.55 หมื่นล้านบาท (อาจมีการปรับได้) สะท้อนราคาหุ้นที่ 8.84 บาทต่อหุ้น (อิงงบไตรมาส 3/65) คาดว่าดีลจะแล้วเสร็จภายในตรมาส 3/66 โดยมีกรอบราคาเข้าซื้อที่ 8.8-10.3 บาทต่อหุ้น

หลังเข้าซื้อหุ้นจาก ExxonMobil ทาง BCP จะทำคำเสนอซื้อขายหลักทรัพย์จากผู้ถือหุ้นเดิม (Tender Offer) ในส่วน 34% ที่เหลือของ ESSO ที่ผู้ถือหุ้นส่วนน้อยสามารถขายหุ้นออกมาในราคาเดียวกับ ExxonMobil

ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการเข้าซื้อทั้งหมดจะอยู่ที่ 3.0-3.3 หมื่นล้านบาท โดย BCP มีแผนระดมทุนผ่านการกู้ยืมกับสถาบันการเงิน

ดีลนี้จะเป็นผลดีกับ BCP ในแง่ปัจจัยกระตุ้นกำไรต่อหุ้น (EPS) และสามารถสร้างประโยชน์ร่วมในการดำเนินงานได้ โดยไม่คิดว่าบริษัทต้องเพิ่มทุน เพราะจะมีเงินทุนมาจากการกู้ยืม ขณะที่บริษัทเองก็มีเงินสด 3.3 หมื่นล้านบาทในมือที่สามารถกลบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้

นอกจากนี้ คาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้การดำเนินงานก่อนหักภาษีจากประโยชน์ร่วมที่ 1.5-2.0 พันล้านบาทปี และกระตุ้น EPS ได้อย่างมากถึง 60% จึงคงคำแนะนำ ‘ซื้อ’ ที่ราคาเป้าหมาย 42.00 บาท

Adblock test (Why?)


หุ้น 'บางจาก' พุ่งไม่หยุด หลังประกาศซื้อ ESSO นักวิเคราะห์ประเมิน Synergy สูงถึง 1.5-2 ล้านบาทต่อปี - workpointTODAY
Read More

เงินบาทผันผวน จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า-เงินเฟ้อเดือนม.ค.ของไทย - ประชาชาติธุรกิจ

[unable to retrieve full-text content] เงินบาทผันผวน จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า-เงินเฟ้อเดือนม.ค.ของไทย    ประชาชาติธุรกิจ ดูเรื่องราวจากท...