Rechercher dans ce blog

Saturday, December 31, 2022

หุ้นไทยปิดสิ้นปี 1,668.66 จุด +7.46 จุด โบรกฯ เตือนระวังแรงเทขาย!! หลังเปิดตลาดต้นปี 66 - ผู้จัดการออนไลน์



หุ้นไทยเทรดวันสุดท้ายส่งท้ายปี 65 ปิดตลาด +7.46 จุด โบรกฯ ชี้ ดัชนีปรับตัวขึ้นมาได้ดีตลอดทั้งวัน แม้มีแรงขายหุ้นใหญ่ออกไปช่วงท้ายตลาด แต่ยังมีหุ้น DELTA ช่วยประคองตลาด ซึ่งปรับตัวขึ้นกว่า 16% หนุนดัชนี +12 จุด รับ SET50 Rebalancing มองกรอบ SET INDEX ไตรมาส ๅ ปีหน้าคาดเคลื่อนไหวในทิศทางบวกเหตุรับอานิสงส์ภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ซึ่งจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจค่อยๆทยอยฟื้นตัวและกลับมาเติบโตอีกครั้ง นอกจากนี้ประเด็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ของไทยก็เป็นประเด็นที่ยังต้องติดตาม ส่วนแนวโน้มช่วงครึ่งหลังปี 66 อาจต้องระวังแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกถดถอย โดยเฉพาะสหรัฐ แนะระวังแรงเทขายต้นสัปดาห์หน้า มองกรอบการลงทุนสัปดาห์แรกของปี 66 ในแนวต้านที่ 1,680 จุดและถัดไปที่ 1,700 จุด ส่วนแนวรับที่ 1,650 จุดและ 1,640 จุด

ตลาดหุ้นไทยปิดทำการซื้อวันที่ 30 ธ.ค. 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้น +7.46 จุด หรือ +0.45% โดยปิดตลาดที่ 1,668.66 จุด มูลค่าการซื้อขาย 77,659.93 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีปิดสิ้นปี 64 อยู่ที่ 1,657.62 จุด ระหว่างปี 65 ขึ้นไปสูงสุดที่ 1,713.20 จุด

ส่วนภาพรวมการซื้อขายหุ้นไทยในวันนี้ ดัชนีแกว่งตัวไซด์เวย์ในแดนบวกและปรับตัวค่อนข้างแรงในช่วงท้ายตลาดจากแรงขายหุ้นแต่ยังสามารถปิดในแดนบวกได้ โดยระหว่างวันปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 1,678.17 จุด ขณะที่ในทางกลับกันช่วงขาลงปรับตัวลดลงต่ำสุด 1,661.48 จุด

ขณะที่หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 572 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 523 หลักทรัพย์ และปรับตัวลดลงจำนวน 876 หลักทรัพย์

ด้านปริมาณการซื้อขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า +4,025.37 ล้านบาท และ บัญชี บล.ซื้อสุทธิกว่า +852.61 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนในประเทศขายสุทธิกว่า -3,074.73 ล้านบาท และ นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -1,803.25 ล้านบาท

ปริมาณการซื้อขายซึ่งจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนตลอด 1 ปีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2565
ขณะที่หากพิจารณาในด้านปริมาณการซื้อขายซึ่งจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนตลอด 1 ปีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2565 พบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า 202,694.36 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิกว่า -153,882.35 ล้านบาท นักลงทุนในประเทศขายสุทธิกว่า -45,392.08 ล้านบาท บัญชี บล.ขายสุทธิกว่า -3,419.94 ล้านบาท

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

1.DELTA มูลค่าการซื้อขาย 19,052.02 ล้านบาท ปิดที่ 830.00 บาท เพิ่มขึ้น 108.00 บาท
2.PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,138.90 ล้านบาท ปิดที่ 33.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท
3.AOT มูลค่าการซื้อขาย 2,921.81 ล้านบาท ปิดที่ 75.00 บาท ลดลง 1.25 บาท
4.BDMS มูลค่าการซื้อขาย 1,970.26 ล้านบาท ปิดที่ 29.00 บาท ลดลง 0.75 บาท
5.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,757.42 ล้านบาท ปิดที่ 147.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท

ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.COM7 ปิดที่ 34.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาทหรือ 2.26%
2.JMT ปิดที่ 69.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาทหรือ 1.10%
3.SYNEX ปิดที่ 16.40 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาทหรือ 3.14%
4.BCP ปิดที่ 31.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาทหรือ 1.61%
5.PTT ปิดที่ 33.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาทหรือ 1.53 %

ส่วนดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.BH ปิดที่ 212.00 บาท ลดลง 4.00 บาท หรือ 1.85%
2.SCC ปิดที่ 342.00 บาท ลดลง 2.00 บาท หรือ 0.58%
3.CPN ปิดที่ 71.00 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 2.07%
4.AOTปิดที่ 75.00 บาท ลดลง 1.25บาท หรือ 1.64%
5.BGRIM ปิดที่ 39.75 บาท ลดลง 1.00บาท หรือ 2.45%

ขณะที่ดัชนี SET100 ปิดที่ 2,257.94 จุด ลดลง -10.22 จุด หรือ -0.45% ส่วนดัชนี SET50 ปิดที่ 1,005.24 จุด ลดลง -4.95 จุด หรือ -0.49% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 584.16 จุด ลดลง -0.92 จุด หรือ -0.16%

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปิดวันสุดท้ายของปี 65 ปรับตัวขึ้นมาได้ดีแม้ช่วงท้ายตลาดจะมีแรงขายหุ้นใหญ่ ยกเว้น หุ้น DELTA พุ่งขึ้น 16% ช่วยหนุนดัชนีบวก 12 จุดตอบรับ SET50 Rebalancing ที่จะใช้ราคาปิดวันนี้ มีผลวันที่ 3 ม.ค.66 รวมถึง COM7 และ RATCH ที่มีแรงซื้อเข้ามาแต่ยังไม่เท่า DELTA ขณะที่ช่วงท้ายตลาดมีแรงขายหุ้น SET50 เพื่อทำกำไรออกมาทำให้ดัชนีลดช่วงบวกลง

นอกจากนี้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปรับตัวได้ดีกว่าที่ประเมินโดยปิดท้ายปีที่ 1,650 จุด หลังจากทะลุแนวต้านสำคัญ 1,650 จุดขึ้นมาได้ ทำให้มีโมเมมตัมขึ้นต่อ เม็ดเงินจากกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และ กองทุนเพื่อการออม (SSF) เข้าซื้อช่วยหนุน แต่ก็มีสัญญาณแปราะบาง หลังจากขึ้นมาต่อเนื่อง 8 วันทำการกว่า 70 จุด ทางเทคนิคเข้าแดน over bought ต้องระวังแรงขายในช่วงต้นปี และแรงขายจากกองทุน LTF จึงต้องระวังความผันผวน

"มองว่าทิศทางหุ้น SET ใน 3-4 เดือนแรกของปี 2566 น่าจะยังมีโมเมมตัมเชิงบวกจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวผลักดันเศรษฐกิจเติบโต และจะมีการเลือกตั้งใหญ่ แต่ช่วงครึ่งหลังปี 66 ต้องระวังแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกถดถอย โดยเฉพาะสหรัฐ ซึ่งประเมินกรอบดัชนี SET INDEX ปี 2566 ไว้ที่ 1,590 จุด เพราะห่วงครึ่งปีหลังภาพรวมตลาดน่ารับแรงกดดันค่อนข้างมาก รวมถึงการเก็บภาษีขายหุ้น เป็นตัวกดดันเข้าฉุดดัชนีให้ลดลงด้วย" นายอภิชาติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม อาจเห็น January effect แต่คาดว่าตลาดคงยังไปไหนไม่ไกลกว่านี้ เพราะเดือนธ.ค.65 ปรับขึ้นมามากแล้ว ส่วนแนวโน้มการลงทุนสัปดาห์แรกของปี 66 ให้กรอบแนวต้าน 1,680 ถัดไปที่ 1,700 จุด แนวรับ 1,650 และ 1,640 จุด

Adblock test (Why?)


หุ้นไทยปิดสิ้นปี 1,668.66 จุด +7.46 จุด โบรกฯ เตือนระวังแรงเทขาย!! หลังเปิดตลาดต้นปี 66 - ผู้จัดการออนไลน์
Read More

สลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ฝาก 50 บาท ลุ้น 5 ล้านบาท ลุ้นโชครับปีใหม่ 2566 - TrueID News

ธ.ก.ส. เปิดรับฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ฝาก 50 บาท ลุ้น 5 ล้านบาท ได้ออม ลุ้นโชครับปีใหม่ 2566

สลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ฝาก 50 บาท ลุ้น 5 ล้านบาท

ธ.ก.ส. เปิดรับฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. เพื่อมอบโชคเป็นของขวัญปีใหม่ วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท เพียงฝากสลากผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus รวม 2 ช่องทาง หน่วยละ 50 บาท ฝากครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.07 บาท พร้อมลุ้นรางวัลที่ 1 สูงสุด 5 ล้านบาท และรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทต่อเดือน รวม 24 ครั้ง และรางวัลพิเศษอีก 2 ครั้ง วงเงินรวม 2 ล้านบาท โดยยกเว้นภาษีดอกเบี้ยสำหรับบุคคลธรรมดา เปิดรับฝากตั้งแต่ 3 มกราคม 2566 เป็นต้นไป

นายศรัทธา อินทรพรหม ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2566 นี้ ธ.ก.ส. ขอมอบของขวัญปีใหม่ให้กับลูกค้าทุกท่านผ่าน“สลากดิจิทัล ธ.ก.ส.” วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท เพียงฝากสลากผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus รวม 2 ช่องทาง ในราคาหน่วยละ 50 บาท อายุสลาก 2 ปี เมื่อฝากครบกำหนดจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.07 บาท หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.07 ต่อปี นอกจากนี้ยังได้ลุ้นรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน และวันที่ 17 มกราคม ของทุกปี รวม 24 ครั้ง ประกอบด้วย

  • รางวัลที่ 1 มี 1 รางวัล มูลค่า 5,000,000 บาท
  • รางวัลที่ 1 ต่างหมวด มี 59 รางวัล รางวัลละ 3,000 บาท
  • รางวัลที่ 2 มี 180 รางวัล รางวัลละ 2,000 บาท
  • รางวัลที่ 3 มี 600 รางวัล รางวัลละ 1,000 บาท
  • รางวัลที่ 4 มี 1,200 รางวัล รางวัลละ 400 บาท
  • รางวัลที่ 5 มี 6,000 รางวัล รางวัลละ 300 บาท
  • รางวัลเลขท้าย 4 ตัว มี 60,000 รางวัล รางวัลละ 25 บาท
  • รางวัลเลขท้าย 3 ตัว มี 600,000 รางวัล รางวัลละ 10 บาท

รวมเงินรางวัล 16,917,000 บาทต่อเดือน

นอกจากนี้ ยังมีการลุ้นรางวัลพิเศษอีก 2 ครั้ง ในเดือนธันวาคม 2565 และเดือนธันวาคม 2566 ครั้งละ 2 รางวัล รางวัลละ 500,000 บาท วงเงินรวม 2,000,000 บาท โดยผู้ที่สนใจต้องฝากสลากภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน เพื่อรับสิทธิ์ตรวจรางวัลในเดือนนั้น ๆ และกรณีฝากไม่ครบ 3 เดือน คิดค่าธรรมเนียมในการถอนเงินจากมูลค่าสลาก 2 บาทต่อหน่วย ที่สำคัญดอกเบี้ยและเงินรางวัลจากการฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยสำหรับบุคคลธรรมดา และสามารถใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงินกับ ธ.ก.ส. ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ได้อีกด้วย

การฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ลูกค้าจะได้รับ e-Slip ไว้เป็นหลักฐานในการฝากสลากบันทึกไว้ในอัลบั้มภาพในโทรศัพท์เคลื่อนที่อัตโนมัติ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลหมายเลขสลาก รายการธุรกรรม การตรวจผลสลาก และประวัติการถูกรางวัลได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus หรือรับชมการถ่ายทอดสดการออกสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นความถี่ AM 891 กิโลเฮิรตซ์ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “BAAC Thailand” Youtube Channel “BAAC Thailand” โดยท่านที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555
ข้อมูล https://www.thaigov.go.th/

--------------------

เกาะติดสถานการณ์โควิด-19  ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก

ทุกประเด็นร้อนข่าวสาร สาระ ทันเหตุการณ์ พูดคุยกันได้ 24 ชม.

คลิกเลย >>> TrueID Community <<<

--------------------

เกาะติดสถานการณ์โควิด-19  ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณ
คลิกเลย!! >>> รู้ทันกันโควิด <<< หรือ กด *301*35# โทรออก

ทุกประเด็นร้อนข่าวสาร สาระ ทันเหตุการณ์ พูดคุยกันได้ 24 ชม.

คลิกเลย >>> TrueID Community <<<

Adblock test (Why?)


สลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ฝาก 50 บาท ลุ้น 5 ล้านบาท ลุ้นโชครับปีใหม่ 2566 - TrueID News
Read More

ดาวโจนส์ร่วงลงกรอบแคบ 73 จุด ปิดฉากการซื้อขายวันสุดท้ายปี 2565 - สยามรัฐ

วันที่ 31 ธงค.65 ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันศุกร์ (30 ธ.ค.) ซึ่งเป็นการซื้อขายวันสุดท้ายของปีนี้ ด้วยการปรับตัวร่วงลงในกรอบแคบ 73 จุด โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 2 ม.ค.2566 เนื่องในวันปีใหม่

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 73.55 จุดหรือ 0.22% ปิดที่ 33,147.25 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 0.25%  ปิดที่ 3,839.50 จุด และดัชนีแนสแด็กร่วงลง 0.11%  ปิดที่ 10,466.88 จุด

Adblock test (Why?)


ดาวโจนส์ร่วงลงกรอบแคบ 73 จุด ปิดฉากการซื้อขายวันสุดท้ายปี 2565 - สยามรัฐ
Read More

'ธ.ก.ส.' ดีเดย์ 3 ม.ค. ขายสลากดิจิทัล ลุ้นรางวัลสูงสุด 5 ล้าน - ไทยโพสต์

“ธ.ก.ส.” ดีเดย์ 3 ม.ค. 2566ลุยขายสลากดิจิทัล วงเงิน 30,000 ล้านบาท เคาะหน่วยละ 50 บาท ฝากครบ 2 ปี รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.07 บาท พร้อมลุ้นรางวัลที่ 1 สูงสุด 5 ล้านบาท และรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทต่อเดือน

30 ธ.ค. 2565 – นายศรัทธา อินทรพรหม ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2566 ธ.ก.ส. ขอมอบของขวัญปีใหม่ให้กับลูกค้าทุกท่านผ่าน“สลากดิจิทัล ธ.ก.ส.” วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท เพียงฝากสลากผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus รวม 2 ช่องทาง ในราคาหน่วยละ 50 บาท อายุสลาก 2 ปี เมื่อฝากครบกำหนดจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.07 บาท หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ย 0.07% ต่อปี

นอกจากนี้ยังได้ลุ้นรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน และวันที่ 17 ม.ค.ของทุกปี รวม 24 ครั้ง ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 มี 1 รางวัล มูลค่า 5,000,000 บาท รางวัลที่ 1 ต่างหมวด มี 59 รางวัล รางวัลละ 3,000 บาท รางวัลที่ 2 มี 180 รางวัล รางวัลละ 2,000 บาท รางวัลที่ 3 มี 600 รางวัล รางวัลละ 1,000 บาท รางวัลที่ 4 มี 1,200 รางวัล รางวัลละ 400 บาท รางวัลที่ 5 มี 6,000 รางวัล รางวัลละ 300 บาท รางวัลเลขท้าย 4 ตัว มี 60,000 รางวัล รางวัลละ 25 บาท รางวัลเลขท้าย 3 ตัว มี 600,000 รางวัล รางวัลละ 10 บาท รวมเงินรางวัล 15,917,000 บาทต่อเดือน และยังมีการลุ้นรางวัลพิเศษอีก 2ครั้ง ในเดือน ธ.ค.2565 และเดือน ธ.ค.2566 ครั้งละ 2 รางวัล รางวัลละ 500,000 บาท วงเงินรวม 2,000,000 บาท

โดยผู้ที่สนใจต้องฝากสลากภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน เพื่อรับสิทธิ์ตรวจรางวัลในเดือนนั้น ๆ และกรณีฝากไม่ครบ 3 เดือน คิดค่าธรรมเนียมในการถอนเงินจากมูลค่าสลาก 2 บาทต่อหน่วย โดยดอกเบี้ยและเงินรางวัลจากการฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยสำหรับบุคคลธรรมดา และสามารถใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงินกับ ธ.ก.ส. ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ได้อีกด้วย

อย่างไรก็ดี การฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ลูกค้าจะได้รับ e-Slip ไว้เป็นหลักฐานในการฝากสลากบันทึกไว้ในอัลบั้มภาพในโทรศัพท์เคลื่อนที่อัตโนมัติ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลหมายเลขสลาก รายการธุรกรรม การตรวจผลสลาก และประวัติการถูกรางวัลได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus หรือรับชมการถ่ายทอดสดการออกสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นความถี่ AM 891 กิโลเฮิรตซ์ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “BAAC Thailand” Youtube Channel “BAAC Thailand”

เพิ่มเพื่อน

Adblock test (Why?)


'ธ.ก.ส.' ดีเดย์ 3 ม.ค. ขายสลากดิจิทัล ลุ้นรางวัลสูงสุด 5 ล้าน - ไทยโพสต์
Read More

Friday, December 30, 2022

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 73.55 จุด จบปี 65 ร่วงหนักสุดในรอบ 14 - อาร์วายที9

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงในวันศุกร์ (30 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันซื้อขายสุดท้ายของปี 2565 และเป็นปีที่ตลาดร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2551 โดยได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ, ความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย, สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และความวิตกที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในจีน

ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,147.25 จุด ลดลง 73.55 จุด หรือ -0.22%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,839.50 จุด ลดลง 9.78 จุด หรือ -0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,466.48 จุด ลดลง 11.61 จุด หรือ -0.11%

ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 0.2%, ดัชนี S&P500 ลดลง 0.1% และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.3% และในรอบปีนี้ ดัชนีดาวโจนส์ร่วง 8.8%, ดัชนี S&P500 ร่วง 19.4% และดัชนี Nasdaq ร่วง 33.1%

ดัชนีทั้ง 3 ตัวปิดตลาดร่วงลงเมื่อเทียบเป็นรายปีในปี 2565 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2561 โดยถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980

แซม สโตวอลล์ หัวหน้านักวิเคราะห์ด้านการลงทุนของซีเอฟอาร์เอ รีเสิร์ชระบุว่า "ตลาดถูกกดดันจากปัจจัยลบต่าง ๆ อาทิ ภาวะชะงักงันด้านห่วงโซ่อุปทานที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563, การพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ"

นอกจากนี้ เขายังระบุถึงปัจจัยลบต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่บ่งชี้ถึงภาวะถดถอย, ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งรวมถึงสงครามยูเครน ตลอดจนจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นในจีน และความตึงเครียดระหว่างจีนกับไต้หวัน

หุ้นเติบโต (growth stocks) เผชิญแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นเกือบตลอดทั้งปี 2565 และปรับตัวย่ำแย่กว่าหุ้นคุณค่า (value stocks) ที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งนับเป็นแนวโน้มที่พลิกผันจากที่เคยดำเนินมาเป็นส่วนใหญ่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นแอปเปิ้ล, อัลฟาเบท, ไมโครซอฟท์, อินวิเดีย, แอมะซอน และเทสลา เป็นหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักราว 28-66% ในปี 2565

หุ้นเติบโตในดัชนี S&P500 ร่วงลงราว 30.5% ในปีนี้ ขณะที่หุ้นคุณค่า ลดลง 7.7% โดยนักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงและผลประกอบการที่มั่นคง อาทิ กลุ่มพลังงานซึ่งเป็นกลุ่มเดียวที่ปรับตัวขึ้น 58% ในปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น

หุ้นกลุ่มสื่อสารเป็นกลุ่มที่ทรุดตัวลงหนักที่สุดในปีนี้ โดยดิ่งลงกว่า 40%

ส่วนหุ้น 10 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดลดลงในวันศุกร์ นำโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสาธารณูปโภค

บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2566 ท่ามกลางความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

อย่างไรก็ตาม สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐได้ทำให้เกิดความวิตกว่า อัตราดอกเบี้ยอาจยังคงปรับขึ้นต่อไป แม้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ลดลงได้เพิ่มความหวังเกี่ยวกับการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ ตลาดการเงินคาดว่า มีโอกาส 65% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.พ. และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะแตะระดับสูงสุดที่ 4.97% ในช่วงกลางปี 2566

ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันจันทร์ที่ 2 ม.ค. 2566 เนื่องในวันปีใหม่ และจะเปิดทำการตามปกติในวันที่ 3 ม.ค.


Adblock test (Why?)


ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 73.55 จุด จบปี 65 ร่วงหนักสุดในรอบ 14 - อาร์วายที9
Read More

Thursday, December 29, 2022

ธ.ก.ส.ออกสลากดิจิทัล หน่วยละ 50 บาท ลุ้นรางวัลที่หนึ่ง 5 ล้าน - PPTVHD36

ธ.ก.ส. ออกสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท ฝากสลากผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus รวม 2 ช่องทาง หน่วยละ 50 บาท ฝากครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.07 บาท ลุ้นรางวัลที่ 1 สูงสุด 5 ล้านบาท และรางวัลอื่น ๆ รวมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาทต่อเดือน รวม 24 ครั้ง และรางวัลพิเศษอีก 2 ครั้ง วงเงินรวม 2 ล้านบาท โดยยกเว้นภาษีดอกเบี้ยสำหรับบุคคลธรรมดา เปิดรับฝากตั้งแต่ 3 มกราคม 2566 เป็นต้นไป

ธ.ก.ส. เปิดจอง “สลากออมทรัพย์ ชุดเกษตรมั่งคั่ง 7” ออม 100 ลุ้น 10 ล้าน

ธ.ก.ส. ออก “สลากดิจิทัล” หน่วยละ 50 บาท ลุ้น 5 ล้านบาท

 

 

 

นายศรัทธา อินทรพรหม ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2566 นี้ ธ.ก.ส. ออก“สลากดิจิทัล ธ.ก.ส.” วงเงินรวม 30,000 ล้านบาท เพียงฝากสลากผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus รวม 2 ช่องทาง ในราคาหน่วยละ 50 บาท อายุสลาก 2 ปี เมื่อฝากครบกำหนดจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.07 บาท หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.07 ต่อปี

นอกจากนี้ยังได้ลุ้นรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน และวันที่ 17 มกราคม ของทุกปี รวม 24 ครั้ง ประกอบด้วย

  • รางวัลที่ 1 มี 1 รางวัล มูลค่า 5,000,000 บาท
  • รางวัลที่ 1 ต่างหมวด มี 59 รางวัล รางวัลละ 3,000 บาท
  • รางวัลที่ 2 มี 180 รางวัล รางวัลละ 2,000 บาท
  • รางวัลที่ 3 มี 600 รางวัล รางวัลละ 1,000 บาท
  • รางวัลที่ 4 มี 1,200 รางวัล รางวัลละ 400 บาท
  • รางวัลที่ 5 มี 6,000 รางวัล รางวัลละ 300 บาท
  • รางวัลเลขท้าย 4 ตัว มี 60,000 รางวัล รางวัลละ 25 บาท
  • รางวัลเลขท้าย 3 ตัว มี 600,000 รางวัล รางวัลละ 10 บาท
รวมเงินรางวัล 15,917,000 บาทต่อเดือน

นอกจากนี้ ยังมีการลุ้นรางวัลพิเศษอีก 2 ครั้ง ในเดือนธันวาคม 2565 และเดือนธันวาคม 2566 ครั้งละ 2 รางวัล รางวัลละ 500,000 บาท วงเงินรวม 2,000,000 บาท โดยผู้ที่สนใจต้องฝากสลากภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน เพื่อรับสิทธิ์ตรวจรางวัลในเดือนนั้น ๆ และกรณีฝากไม่ครบ 3 เดือน คิดค่าธรรมเนียมในการถอนเงินจากมูลค่าสลาก 2 บาทต่อหน่วย ที่สำคัญดอกเบี้ยและเงินรางวัลจากการฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยสำหรับบุคคลธรรมดา และสามารถใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงินกับ ธ.ก.ส. ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ได้อีกด้วย

การฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus ลูกค้าจะได้รับ e-Slip ไว้เป็นหลักฐานในการฝากสลากบันทึกไว้ในอัลบั้มภาพในโทรศัพท์เคลื่อนที่อัตโนมัติ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลหมายเลขสลาก รายการธุรกรรม การตรวจผลสลาก และประวัติการถูกรางวัลได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน ธ.ก.ส. A-Mobile และ A-Mobile Plus หรือรับชมการถ่ายทอดสดการออกสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. ได้ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย คลื่นความถี่ AM 891 กิโลเฮิรตซ์ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “BAAC Thailand” Youtube Channel “BAAC Thailand” 

ข่าวที่คุณอาจพลาด

Adblock test (Why?)


ธ.ก.ส.ออกสลากดิจิทัล หน่วยละ 50 บาท ลุ้นรางวัลที่หนึ่ง 5 ล้าน - PPTVHD36
Read More

Wednesday, December 28, 2022

เปิดคาดการณ์อนาคตเหรียญคริปโทปี2023 BTC-ETH-ADA จากนักวิเคราะห์ตัวท็อป - efinanceThai

               ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปี 2022 นี้เป็นอีกหนึ่งปีที่หนักหน่วง ทั้งในเรื่องของการดึงเงินออกของเฟด รวมถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ย สงครามยูเครน-รัสเซีย อีกทั้งยังมีเรื่องของการล่มสลายของโปรเจกต์ต่างๆ มากมาย เช่น Terra และ FTX อย่างที่เราได้เห็นกับตากันไปเมื่อไม่นานมานี้

               ในด้านของราคาเหรียญปีนี้ พี่ใหญ่อย่าง BTC ปัจจุบันราคาได้ลดลงกว่า 75% ณ จุดสูงสุดตลอดกาล นำพาพี่หมีเข้ามาสู่ตลาดในช่วงก่อนสิ้นปีของ 2021 โดยพี่รองอย่าง ETH ก็มิได้น้อยหน้าแต่อย่างใดตาม BTC มาติดๆ โดยลดลงกว่า 75% นอกจากนี้ คู่แข่ง Ether อย่าง Cardano ถูกพี่ใหญ่เตะตัดขาลงมาจากยอดเขา โดยลดลงกว่า 91% เช่นกัน

               ปี2023 หลายคนคงอยากรู้ว่า แล้วยังไงต่อ? โดยเฉพาะทิศทางของเหรียญหลักๆ ที่มีแฟนคลับเหนียวแน่นทั้ง 3 เหรียญนี้ อ้างอิงจากบทความของ U.today ซึ่งได้รวบรวมมุมมองผู้เชี่ยวชาญตัวท็อปมาไว้ให้อ่านกันแล้ว 

               1.#Bitcoin ต้องทะลุแนวต้านหนึ่งก่อน​ ค่อยไปต่อที่ $38,500 

              นักวิเคราะห์ "Michael van de Poppe" ซึ่งเป็น Full Time Trader และมีผู้ติดตามในทวิตเตอร์กว่า 6 แสนราย ได้มอง BTC ไปในทิศทางบวก โดยคาดการณ์ปี 2023 ว่าราคาของเหรียญคริปโทสามารถพุ่งขึ้นได้ และมูลค่าตลาดของเหรียญจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ถ้าจะให้เป็นแบบนั้นได้ BTC จะต้องทะลุแนวต้านที่ 20,600 ดอลลาร์ ซึ่งหากถึงเป้าที่มองไว้จริงๆ ราคาของ BTC จะขึ้นไปถึง $38,500 น่าจะเป็นระดับเป้าหมายที่จะดึงดูดใจนักลงทุนให้อัดเงินเข้ามาใน​ Bitcoin เพื่อตอบสนองต่อภาวะตลาดที่แข็งแกร่งในช่วงเวลานั้น   

              2.#Ethereum จะพุ่งไปถึง 5 หลักจากปลดล็อก Stake?!

               นักวิเคราะห์ของ Coin Bureau ที่ชื่อว่า “Guy” คาดหวังอย่างมากสำหรับพี่รองอย่าง ETH ในปี 2023 นี้ โดยมองว่าผู้ถือ Ethereum จะได้เห็นการมาถึงของการอัปเกรด Shanghai ซึ่งในระยะสั้นจะทำให้ผู้ถือ ETH สามารถนำออกจากการ Stake และนำออกไปใช้งานได้ตามความต้องการ อีกทั้งเขายังมองว่าการปลดล็อกนี้จะเป็นตัวกระตุ้นที่ดีให้ผู้คนนำ ETH มา Stake มากขึ้น เนื่องจากผู้นำมาฝากก่อนหน้านี้ได้รับผลตอบแทนมากมาย 

               ซึ่ง Guy ไม่ได้ทำนายราคาของเหรียญ Altcoin ต่างๆ แม้เขาจะมองว่ามีโอกาสเป็นไปได้ที่ราคาจะพลิกกลับมาและ ETH จะพุ่งไปถึง 5 หลัก แต่ตัวเขาเองยังมองว่า ETH จะเคลื่อนไหว ​Sideway มากกว่าในปีหน้า

               3.#Cardano ลุ้นสุดใจ $0.55 คาดเติบโตในภาคธุรกิจ 

               แม้จะยังไม่มีอะไรที่สำคัญสำหรับ ADA แต่ก็ยังติดท็อป 10 ของมูลค่าตลาดได้ตลอดปี 2022 และในปี 2023 เป็นไปได้สูงว่า Cardano จะเติบโตในภาคธุรกิจ Stablecoins, NFTs และ DeFi ซึ่งผู้ที่ชื่นชอบโปรเจกต์เชื่อมั่นว่า สิ่งนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงการมาครั้งยิ่งใหญ่ ของแพลตฟอร์มสัญญาอัจฉริยะได้อีกด้วย 

               มาว่ากันด้วยเรื่องของราคา ADA ทาง Changelly ซึ่งเป็น Exchange มองว่าปีหน้าราคาจะแตะ $0.45 และหากทิศทางของตลาดนั้นดี Bull run รอบเล็กๆ นี้อาจดันราคาได้สูงถึง $0.55  เลยก็ว่าได้   

              ข่าวที่เกี่ยวข้อง : [อ.พิริยะ มอง Bitcoin กำลังเข้าเฟส 2 เติบโตสู่เวที ‘ระบบการเงินทางเลือก’] [กูรู Bloomberg ชี้ Ethereum จะให้ผลตอบแทนแซงหน้า Bitcoin] [ผู้เชี่ยวชาญเคาะเป้า Cardano (ADA) พุ่งแตะ 2.93 ดอลลาร์ในปี 2025]

              *หมายเหตุ ความเห็นทั้งหมดนี้ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน มีไว้เพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น  การลงทุนและการซื้อขายมีความเสี่ยง ดังนั้นควรศึกษาด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจและไม่แนะนำให้ลงทุนด้วยเงินที่ไม่สามารถเสียได้

 

               ที่มา: u.today

               แปลโดย  ธีรพัฒน์  บัวรี

 

Adblock test (Why?)


เปิดคาดการณ์อนาคตเหรียญคริปโทปี2023 BTC-ETH-ADA จากนักวิเคราะห์ตัวท็อป - efinanceThai
Read More

Tuesday, December 27, 2022

Aot พลิกกำไรหมื่นล.ปีหน้า โตแรงปี 67 กด P/E 36-41 เท่า - https://ift.tt/qgiJ0Nu

[unable to retrieve full-text content]

Aot พลิกกำไรหมื่นล.ปีหน้า โตแรงปี 67 กด P/E 36-41 เท่า  https://ift.tt/qgiJ0Nuดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News
Aot พลิกกำไรหมื่นล.ปีหน้า โตแรงปี 67 กด P/E 36-41 เท่า - https://ift.tt/qgiJ0Nu
Read More

ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 16.36 จุด กลุ่ม Reopening ขึ้นยกแผง - อาร์วายที9

SET ปิดวันนี้ที่ 1,643.16 จุด เพิ่มขึ้น 16.36 จุด (+1.01%) มูลค่าการซื้อขาย 53,259.96 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีปรับขึ้นตามภูมิภาค โดยทำระดับสูงสุด 1,645.76 จุด และระดับต่ำสุด 1,631.14 จุด

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 1,092 หลักทรัพย์ ลดลง 370 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 456 หลักทรัพย์

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู่อำนวยนการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ดี รับปัจจัยหลักจากจีนจะยกเลิกมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค.66 ซึ่งมาเร็วกว่าคาด ก็หนุนให้หุ้นกลุ่ม Reopening ขึ้นยกแผง รวมถึงหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ที่รับอานิสงส์ที่จีนเปิดเมืองและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ทั้งนี้ มีแรงซื้อนำโดย AOT, CPALL

แนวโน้มวันพรุ่งนี้ คาดตลาดหุ้นน่าจะเริ่มลดความร้อนแรง อาจบวกได้ ลักษณะแกว่งตัวไซด์เวย์ เนื่องจากวันนี้ปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว โดยดัชนี SET ปรับขึ้นมา 2 วันติดต่อกัน รวม +25.77 จุด

พร้อมให้แนวต้านหลักที่ 1,650 จุด แนวรับที่ 1,640-1,635 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

AOT มูลค่าการซื้อขาย 4,872.12 ล้านบาท ปิดที่ 75.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท

PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,626.42 ล้านบาท ปิดที่ 32.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,921.39 ล้านบาท ปิดที่ 67.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 1,848.72 ล้านบาท ปิดที่ 716.00 บาท ลดลง 4.00 บาท

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,549.84 ล้านบาท ปิดที่ 145.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท


Adblock test (Why?)


ภาวะตลาดหุ้นไทย: ปิดพุ่ง 16.36 จุด กลุ่ม Reopening ขึ้นยกแผง - อาร์วายที9
Read More

Monday, December 26, 2022

"สนามบินสุวรรณภูมิ" เปิดให้จอดรถฟรี ช่วงวันหยุดปีใหม่ เป็นของขวัญให้ผู้ใช้บริการ - ไทยรัฐ

ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารเดินทางในช่วงปีใหม่ พร้อมเปิดให้จอดรถฟรี ณ ลานจอดรถระยะยาวโซน C ในช่วงหยุดยาว วันที่ 29 ธ.ค. - 3 ม.ค. 66 นี้

วันที่ 26 ธันวาคม 2565 นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2565–4 มกราคม 2566 (รวม 7 วัน) คาดการณ์จำนวนผู้โดยสารในภาพรวมที่เดินทางผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,019,681 คน หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 145,000 คน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ (รวมขาเข้า-ออก) จำนวน 771,244 คน และผู้โดยสารภายในประเทศ (รวมขาเข้า-ออก) จำนวน 248,437 คน

"สนามบินสุวรรณภูมิ" เปิดให้จอดรถฟรี ช่วงวันหยุดปีใหม่ เป็นของขวัญให้ผู้ใช้บริการ

สำหรับประมาณการเที่ยวบินในช่วงดังกล่าว คาดว่าจะมีเที่ยวบิน รวมทั้งสิ้นจำนวน 5,443 เที่ยวบิน หรือเฉลี่ยวันละ 778 เที่ยวบิน โดยแบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ (รวมขาเข้า-ออก) จำนวน 3,600 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ (รวมขาเข้า-ออก) จำนวน 1,843 เที่ยวบิน

ซึ่งมีสายการบินขอเพิ่มเที่ยวบินพิเศษ และเช่าเหมาลำ (Extra & Charter Flight) จำนวน 15 สายการบิน รวมทั้งสิ้น 79 เที่ยวบิน แบ่งออกเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ จำนวน 24 เที่ยวบิน และเที่ยวบินระหว่างประเทศ จำนวน 55 เที่ยวบิน ซึ่งสายการบินที่ขอเพิ่มเที่ยวบินพิเศษมากที่สุด 3 อันดับแรก (รวมขาเข้า-ออก) คือสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส จำนวน 24 เที่ยวบิน สายการบินจินแอร์ จำนวน 14 เที่ยวบิน และสายการบินทีเวย์ จำนวน 8 เที่ยวบิน

เพื่อให้การบริการผู้โดยสารในช่วงเวลาดังกล่าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีความพร้อมในการรองรับผู้โดยสาร ทสภ. ได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวก และการบริการในด้านต่างๆ อาทิ เพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวก บริเวณพื้นที่ตรวจหนังสือเดินทางทั้งขาเข้าและขาออก สนับสนุนการดำเนินงานของกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 รวมทั้งจัดระเบียบคิวผู้โดยสารที่รอรับบริการ ตลอดจนจัดให้มีเจ้าหน้าที่ล่าม เตรียมพร้อมในการให้การสนับสนุนส่วนงานราชการ หรือสายการบินเมื่อได้รับการร้องขอ

"สนามบินสุวรรณภูมิ" เปิดให้จอดรถฟรี ช่วงวันหยุดปีใหม่ เป็นของขวัญให้ผู้ใช้บริการ

ในส่วนของการให้บริการกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสาร ได้ตรวจสอบระบบลำเลียงกระเป๋าสัมภาระ ให้มีความพร้อม ในการรองรับปริมาณสัมภาระ พร้อมทั้งกำชับผู้ให้บริการภาคพื้นที่ให้บริการขนถ่ายสัมภาระผู้โดยสารทั้ง 2 ราย คือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟล์ทเซอร์วิส จำกัด ในการดำเนินการขนถ่ายสัมภาระให้ตรงตามเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร อุปกรณ์ในการให้บริการภาคพื้นให้เพียงพอ และมีการจัดตั้งศูนย์ Single Command Center ตามสั่งการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อบริหารจัดการเรื่องความแออัดของผู้โดยสารที่มาใช้บริการ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเวรตรวจติดตามบริเวณที่มีผู้โดยสารหนาแน่นผ่านกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ ทสภ. พร้อมให้ความร่วมมือสนับสนุนการปฏิบัติงาน ตลอดจนบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหน่วยงานราชการ สายการบิน ผู้ประกอบการ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้บริการ ณ ทสภ. เตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับปริมาณการจราจรทางอากาศที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้การบริการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษาคุณภาพการให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลต่อไป

"สนามบินสุวรรณภูมิ" เปิดให้จอดรถฟรี ช่วงวันหยุดปีใหม่ เป็นของขวัญให้ผู้ใช้บริการ

สำหรับการให้บริการระบบขนส่งรถสาธารณะ ผู้โดยสารสามารถเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะที่เชื่อมต่อกับสนามบินได้หลายรูปแบบ อาทิ รถแท็กซี่ รถไฟฟ้า Airport Rail Link รถโดยสารสาธารณะต่างๆ และรถลีมูซีนของสนามบิน โดยในช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารใช้บริการหนาแน่น ทสภ. จะมีการประสานผู้ให้บริการรถสาธารณะต่างๆ เตรียมรถให้พร้อมเข้ามาให้บริการแก่ผู้โดยสารในช่วงดังกล่าวให้เพียงพอ

และเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2566 ทสภ. ได้ยกเว้นอัตราค่าบริการจอดรถยนต์ที่ลานจอดรถยนต์ระยะยาวโซน C ตั้งแต่เวลา 00.01 น. วันที่ 29 ธันวาคม 2565 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันที่ 3 มกราคม 2566 (รวม 6 วัน) ซึ่งสามารถจอดรถยนต์ได้จำนวน 718 คัน โดยมีรถ Shuttle Bus สาย A วิ่งให้บริการรับ-ส่ง ระหว่างลานจอดรถยนต์ระยะยาวโซน C และอาคารผู้โดยสาร ทุกๆ 15 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือผู้โดยสารที่จะเดินทางเที่ยวบินขาออกระหว่างประเทศ ควรเผื่อเวลาก่อนการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง โดยเฉพาะในช่วงเวลาประมาณ 19.00-21.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารใช้บริการหนาแน่น

"สนามบินสุวรรณภูมิ" เปิดให้จอดรถฟรี ช่วงวันหยุดปีใหม่ เป็นของขวัญให้ผู้ใช้บริการ

ซึ่ง ทสภ. ได้เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่บริการท่าอากาศยานในการให้คำแนะนำและจัดระเบียบแถวเพื่อให้การบริการเป็นไปด้วยความสะดวกและรวดเร็ว และสำหรับเที่ยวบินขาออกภายในประเทศควรเผื่อเวลาก่อนการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ AOT Contact Center หมายเลขโทรศัพท์ 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง.

Adblock test (Why?)


"สนามบินสุวรรณภูมิ" เปิดให้จอดรถฟรี ช่วงวันหยุดปีใหม่ เป็นของขวัญให้ผู้ใช้บริการ - ไทยรัฐ
Read More

“พลังงาน-สิ่งแวดล้อม-สุขภาพ” เทรนด์มาแรงปี2566 - Post Today

 ด้านสุขภาพ:

นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2563 ถึงปัจจุบัน การพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ผู้ประกอบการอสังหาฯ จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาโดยคำนึงถึงสุขอนามัยที่ดีในการอยู่อาศัย ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานสำหรับที่อยู่อาศัยในทุกระดับ  นอกจากนี้ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการอยู่อาศัยเช่นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์ต่างๆ ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องของสุขอนามัยที่ดีเช่นกัน เช่น งานบริการตกแต่งบ้านแบบ Fit-in จาก 10DK ที่มีแนวคิดการให้บริการด้านการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ลดการใช้สารที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม มีการใช้สารเคลือบ และสีแบบสารระเหยต่ำ (Low VOCs) ซึ่งปลอดภัยต่อผู้พักอาศัย

นอกจากนี้ยังมีการเลือกวัสดุจากธรรมชาติเป็นหลัก ใช้ผลิตภัณฑ์จากชุมชน และไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง รวมถึงการสร้างรายได้ให้ชุมชนโดยการให้กลุ่มโดยใช้ช่างฝีมือชุมชน  ซึ่งอนาคตหากเกิดการแข่งขันทางธุรกิจที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมากขึ้นจะส่งผลให้ราคาการให้บริการในตลาดต่ำลงจนทำให้ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงบริการที่เกี่ยวกับบ้านที่ดีต่อสุขภาพคนอยู่ได้มากขึ้น

นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า การประหยัดพลังงาน สิ่งแวดล้อม และสุขอนามัย ไม่ได้ เป็นแนวโน้มเฉพาะการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี2566 เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกระดับ ทั้งการพัฒนาโรงแรม อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนต์ โกดังสินค้า หรือโรงงานอุตสาหกรรม ก็มีการนำมาตรฐานการก่อสร้างและการบริหารจัดการ โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลักข้างต้น โดยการนำเกณฑ์ต่างๆ มาเป็นดัชนีชี้วัดในการก่อสร้างและการปรับปรุงอาคาร เช่น มาตรฐานอาคารของ Leadership in Energy and Environment Design หรือ LEED , WELL Building Standard คือมาตรฐานทางสุขภาวะระดับสากลที่ประเมินอาคารภายใต้แนวคิดสำคัญ 7 ข้อ ได้แก่ อากาศ น้ำ สาธารณูปโภค แสง การออกกำลังกาย สภาพแวดล้อม และจิตใจ, EDGE คือระบบอาคารพักอาศัยและอาคารพาณิชย์สีเขียว ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบริษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (IFC) เพื่อส่งเสริมโครงการอาคารเขียวในประเทศที่กำลังพัฒนาโดยใช้ระบบการให้คะแนนที่เรียบง่าย   

นอกจากนี้ จากผลสำรวจของ Statista บริษัทวิจัยจากประเทศเยอรมัน ได้มีการทำสำรวจในปี 2560 พบว่า นักท่องเที่ยวกว่า 19% ยอมเสียค่าบริการเพิ่มมากขึ้นสำหรับการเข้าพักโรงแรมที่ได้รับรอง Green Hotel ซึ่งประเทศไทยเองก็มีโครงการโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Hotel) โดยกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม มีการเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน และมีการเข้าร่วมของภาคธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่องทุกปีโดยโครงการโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะมีแนวคิด และเป้าหมาย การขยายเครือข่ายโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อรองรับมาตรการการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าและบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของหน่วยงานภาครัฐ และการบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และเตรียมความพร้อมสู่การประเมินมาตรฐานสิ่งแวดล้อมในระดับสากล อันจะทำให้เกิดการพัฒนา และส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างยั่งยืน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไป

  “จากแนวโน้มและทิศทางดังกล่าว เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย อาคารในเชิงพาณิชย์ และอุตสาหกรรม ที่จะพัฒนาโดยคำนึงถึง 3 ประเด็นหลักคือ เรื่องของ พลังงาน สิ่งแวดล้อม และ สุขอนามัยที่ดี ซึ่งไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ที่จะเกิดแต่กำลังเป็นมาตรฐานใหม่ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกระดับ” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว 

Adblock test (Why?)


“พลังงาน-สิ่งแวดล้อม-สุขภาพ” เทรนด์มาแรงปี2566 - Post Today
Read More

Sunday, December 25, 2022

ทวิตเตอร์เรียกคืนฟีเจอร์ป้องกันฆ่าตัวตาย หลังโดนกดดันหนัก - กรุงเทพธุรกิจ

โดยเมื่อวันศุกร์ (23 ธ.ค.) รอยเตอร์อ้างแหล่งข่าววงใน เปิดเผยว่า ทวิตเตอร์ลบฟีเจอร์ดังกล่าวเมื่อหลายวันก่อน ซึ่งอ้างว่าได้รับคำสั่งจากอีลอน มัสก์ ซีอีโอทวิตเตอร์คนใหม่

ด้านเอลลา เออร์วิน หัวหน้าฝ่ายความไว้วางใจและความปลอดภัยของทวิตเตอร์แจ้งว่ามีการลบจริง แต่ลบเพียงชั่วคราวเพื่อปรับขนาดข้อความแจ้งเตือนและแก้ไขข้อความแจ้งเตือนที่ล้าสมัย

ทั้งนี้ ฟีเจอร์ที่เรียกว่า #ThereIsHelp จะปรากฎไว้ด้านบนสุดสำหรับคำค้นหาบางหัวข้อ และมีรายชื่อติดต่อองค์กรสนับสนุนในหลายประเทศที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพจิต , เอชไอวี, วัคซีน, การแสวงประโยชน์ทางเพศจากเด็ก, โควิด-19, ความรุนแรงทางเพศ, ภัยธรรมชาติ และเสรีภาพในการแสดงออก

การที่ฟีเจอร์ดังกล่าวหายไป ทำให้กลุ่มความปลอดภัยเพื่อผู้บริโภคและผู้ใช้ทวิตเตอร์บางส่วนเกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของผู้ใช้เปราะบางในแพลตฟอร์ม

Adblock test (Why?)


ทวิตเตอร์เรียกคืนฟีเจอร์ป้องกันฆ่าตัวตาย หลังโดนกดดันหนัก - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

Saturday, December 24, 2022

เกษตรกรทั่วประเทศปลื้ม! พช.ประกันรายได้ เดินหน้าปี 4 สร้างความมั่นคงต่อเนื่อง - ข่าวสด

สุราษฎร์ธานี เกษตรกรทั่วประเทศ ปลื้ม! กระทรวงพาณิชย์ “ประกันรายได้” เดินหน้าปี 4 สร้างความมั่นคงต่อเนื่อง ช่วยให้เกษตรกรชาวบ้านมีหลักประกันด้านรายได้

นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย หลังพบปะเกษตรกรและติดตามผล การดาเนินโครงการประกันรายได้สินค้าเกษตรในพื้นที่จังหวัดกระบี่ และสุราษฎร์ธานี ระหว่างวันที่ 22 – 24 ธันวาคม 2565 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากเกษตรกรเป็นอย่างดี ช่วยให้เกษตรกรมีหลักประกันด้านรายได้ หากราคาตลาดต่ากว่าราคาเป้าหมายที่กาหนดไว้

โดยปัจจุบันได้ดาเนินการปีนี้เป็นปีที่ 4 แล้ว และมีเกษตรกร มีสิทธิเข้าร่วมโครงการกว่า 8.16 ล้านครัวเรือน ครอบคลุมทั้ง 5 สินค้า ได้แก่ ข้าว มันสาปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยง สัตว์ ปาล์มน้ามัน และยางพารา ส่วนผลการดาเนินงานในปีที่ผ่านมา (ปีการผลิต 2564/65) ซึ่งมีกรอบวงเงิน รวม 115,112.21 ล้านบาท ได้สิ้นสุดการดาเนินการแล้ว โดยมีผลการจ่ายเงินชดเชย 88,483.72 ล้านบาท (คิด เป็นร้อยละ 77 ของเป้าหมาย)

สำหรับความคืบหน้าโครงการประกันรายได้ปี 4 สินค้าข้าว คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2565/66 และมาตรการ คู่ขนาน เป้าหมายเกษตรกร 4.678 ล้านครัวเรือน วงเงินงบประมาณ 18,700.13 ล้านบาท กาหนดราคา ประกันรายได้เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา

ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิ 15,000 บาท/ตัน (ปริมาณครัวเรือนละ 14 ตัน) ข้าวเปลือกหอมมะลินอกพื้นที่ 14,000 บาท/ตัน (ปริมาณครัวเรือนละ 16 ตัน) ข้าวเปลือกปทุมธานี 11,000 บาท/ตัน (ปริมาณครัวเรือนละ 25 ตัน) ข้าวเปลือกเจ้า 10,000 บาท/ตัน (ปริมาณครัวเรือนละ 30 ตัน) ข้าวเปลือกเหนียว 12,000 บาท/ตัน (ปริมาณครัวเรือนละ 16 ตัน)

โดยขณะนี้ ได้ประกาศราคา เกณฑ์กลางอ้างอิง และโอนเงินชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกรแล้ว 10 งวด จ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกร 2.535 ล้านครัวเรือน เป็นจานวนเงิน 7,690.30 ล้านบาท และเมื่อวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้ประกาศ ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงงวดที่ 11 เรียบร้อยแล้ว โดย ธ.ก.ส. จะโอนเงินให้เกษตรกรภายใน 3 วันทาการต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีการดาเนินมาตรการคู่ขนานควบคู่ไปกับโครงการประกันรายได้ เพื่อให้มีการซื้อ ผลผลิตเก็บในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากไม่ให้ราคาตลาดตกต่าลง ซึ่งจะช่วยรัฐบาลประหยัดค่าใช้จ่าย ในการประกันรายได้ อาทิ ให้เกษตรกรเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง ได้รับค่าฝากเก็บตันละ 1,500 บาท ให้สหกรณ์และ ผู้ประกอบการ (ข้าว มันสาปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) เร่งรับซื้อเก็บสต็อกโดยช่วยเหลือดอกเบี้ย 3% เป็นต้น

และสาหรับโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยังคงหลักการ เดิมเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา โดยการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้เกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ ขณะนี้จ่ายให้เกษตรกรแล้วจานวน 4.295 ล้านครัวเรือน วงเงิน 50,617 ล้านบาท

ในส่วนโครงการประกันรายได้ มันสาปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ามัน คณะกรรมการ นโยบายสินค้าเกษตร ได้เห็นชอบในหลักการแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการนาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา สาหรับ ยางพาราอยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) โดยกำหนดราคาประกันเช่นเดียวกับปี ที่ผ่านมา

ดังนี้ มันสาปะหลัง กาหนดราคาประกัน 2.50 บาท/กก. ไม่เกิน 100 ตัน/ครัวเรือน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กาหนดราคาประกัน 8.50 บาท/กก. ไม่เกิน 30 ไร่/ครัวเรือน ปาล์มน้ามัน กาหนดราคาประกัน 4.00 บาท/ กก. ไม่เกิน 25 ไร่/ครัวเรือน อายุ 3 ปีขึ้นไป และยางพารา กาหนดราคาประกัน (ไม่เกิน 25 ไร่ อายุ 7 ปีขึ้นไป) สาหรับยางดิบ (ปริมาณ 20 กก./ไร่/เดือน) 60 บาท/กก. น้ายางสด (DRC 100%) (ปริมาณ 20 กก./ไร่/เดือน) 57 บาท/กก. และยางก้อนถ้วย (DRC 50%) (ปริมาณ 40 กก./ไร่/เดือน) 23 บาท/กก.

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ราคามันสาปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ามัน ปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าราคา ประกันรายได้ ซึ่งหากคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบในหลักการมาแล้ว ก็จะเป็นหลักประกันให้เกษตรกร ไว้ใช้ในช่วงที่ผลผลิตออกมาก จนส่งผลให้ราคาปรับลดลงได้ทันเหตุการณ์

Adblock test (Why?)


เกษตรกรทั่วประเทศปลื้ม! พช.ประกันรายได้ เดินหน้าปี 4 สร้างความมั่นคงต่อเนื่อง - ข่าวสด
Read More

'รองพงษ์'ขยับ!! สั่งกฟผ.-ปตท.ส่งต้นทุนค่าไฟใหม่ให้กกพ. ถูกกว่า 5.69 บาท/หน่วย - มติชน

‘รองพงษ์’ขยับ!! สั่งกฟผ.-ปตท.ส่งต้นทุนค่าไฟใหม่ให้กกพ. ถูกกว่า 5.69 บาท/หน่วย

รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานแจ้งว่า กรณีภาคเอกชนในนาม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) ขอให้รัฐบาลทบทวนต้นทุนค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟภาคอื่นๆ ที่ไม่ใช่ครัวเรือน หลังคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) เคาะราคาค่าไฟที่ 5.69 บาทต่อหน่วยนั้น ในส่วนของกระทรวงพลังงานไม่ได้นิ่งนอนใจ อยู่ระหว่างประสานกับ กกพ. ซึ่งช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กกพ.ก็ออกมาส่งสัญญาณแล้วว่าราคาค่าไฟของผู้ใช้ไฟกลุ่มอื่นมีโอกาสลดลง แต่ต้องรอต้นทุนราคาเชื้อเพลิงจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ก่อน ซึ่งล่าสุด นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาวน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้แจ้งกฟผ.และปตท. ให้ส่งข้อมูลกกพ.แล้ว เพื่อให้กกพ.จัดทำสูตรค่าไฟใหม่ คาดว่าจะลดค่าไฟในส่วนของผู้ใช้กลุ่มอื่นลงได้

“กกพ.ยังมีเวลาทำข้อมูลเพื่อประกาศราคาค่าไฟสุดท้ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และส่งไปยัง 3 การไฟฟ้า ประกอบด้วย กฟผ. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) เพื่อประกาศภายวันที่ 1 มกราคม 2566″รายงานข่าวระบุ

Adblock test (Why?)


'รองพงษ์'ขยับ!! สั่งกฟผ.-ปตท.ส่งต้นทุนค่าไฟใหม่ให้กกพ. ถูกกว่า 5.69 บาท/หน่วย - มติชน
Read More

ถอดแนวคิด “ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล” ปั้นโมเดล "ร้านโดนใจ" อย่างไรให้โดนใจโชห่วย 1 ปี 1,000 ร้าน ตั้งเป้า 30,000 ร้านค้า ใน 5 ปี - Brand Buffet

ถอดแนวคิด “ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล” ปั้นโมเดล "ร้านโดนใจ" อย่างไรให้โดนใจโชห่วย 1 ปี 1,000 ร้าน ตั้งเป้า 30,000 ร้านค้า ใน 5 ปี - Brand Buffet

Adblock test (Why?)


ถอดแนวคิด “ฐาปณี เตชะเจริญวิกุล” ปั้นโมเดล "ร้านโดนใจ" อย่างไรให้โดนใจโชห่วย 1 ปี 1,000 ร้าน ตั้งเป้า 30,000 ร้านค้า ใน 5 ปี - Brand Buffet
Read More

ภาคธุรกิจ-โรงแรม ร้องอีกรอบ วอนรัฐช่วยตรึงค่าไฟ หวั่นขึ้นพรวดดันสินค้าพาเหรดขึ้นราคา - เรื่องเล่าเช้านี้

Adblock test (Why?)


ภาคธุรกิจ-โรงแรม ร้องอีกรอบ วอนรัฐช่วยตรึงค่าไฟ หวั่นขึ้นพรวดดันสินค้าพาเหรดขึ้นราคา - เรื่องเล่าเช้านี้
Read More

ค่าไฟขึ้นดันราคาสินค้าแพง กกร.ชี้กระทบเป็นลูกโซ่ทั้งเงินเฟ้อ-อุตฯย้ายฐานผลิต - ไทยโพสต์

24 ธ.ค. 2565 – นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเปิดเผยในฐานะ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จัดแถลงข่าวเรื่อง “ผลกระทบจากการขึ้นค่าไฟและข้อเสนอของภาคอุตสาหกรรม การค้าและบริการ การเงิน” ว่ากรณีที่รัฐบาลเตรียมปรับขึ้นค่าไฟฟ้า อีก 20% มาอยู่ที่ 5.69 บาท/หน่วย ในรอบบิล ม.ค.-เม.ย.2566 จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและอุตสหกรรมอย่างมาก เนื่องจากมีสัดส่วนใช้ไฟฟ้ารวมกันมากถึง 70% ขณะที่ภาคครัวเรือนใช้ไฟ 30% ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นกระทบเงินเฟ้อให้ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% จนคาดการเงินเฟ้อปีหน้าอาจปรับเพิ่มจาก 3% เป็น 3.5% ฉุดจีดีพีภาพรวมลดลง 0.3% ทำให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยหยุดชะงักเพราะภาคผลิตมีสัดส่วนในจีดีพีมากถึง 27%

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และการขึ้นค่าแรงยิ่งซ้ำเติมผู้ประกอบการมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ กกร.อยู่ระหว่างการรอนัดหมายเข้าพบกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อหารือในเรื่องดังกล่าวหลังจากยื่นหนังสือขอเข้าพบไปเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่ทบทวนการขึ้นค่าไฟจะทำให้เกิดปัญหา3เรื่องคือปัญหาขีดความความสามารถในการแข่งขันด้านเศรษฐกิจของไทยจะลดลง ขณะที่ปีล่าสุด2565 ไทยตกลงมา 5 อันดับ จาก 28 เป็น 33 จากการจัดอันดับของ IMD(International Institute for Management Development),ปัญหาเงินเฟ้อจะกลับมา ผู้ประกอบการจะขึ้นราคาสินค้า 5-12% กระทบค่าครองชีพของประชาชน และนักลงทุนอาจย้ายฐานผลิตไปยังประเทศคู่แข่งที่มีต้นทุนค่าไฟฟ้าถูกกว่า โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งมีต้นทุนค่าไฟเฉลี่ย 2.88บาท/หน่วย

รวมทั้งอาจชะลอการเข้ามาลงทุนในไทยสำหรับนักลงทุนรายใหม่  โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 กลุ่มประเทศอาเซียน+3  พบว่าสิงคโปร์ มีเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสูงสุด 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ เวียดนาม 3.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ไทยอยู่ที่ 1พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น และปีหน้าเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติอาจจะปรับลดลงอีก

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงปลาย ม.ค.2566 อาจจะเห็นผู้ประกอบการเริ่มทยอยปรับขึ้นราคาสินค้า เพื่อชดเชยต้นทุนค่าฟ้าที่แพง โดยระหว่างนี้จะยังไม่ขึ้นราคาเนื่องจากยังมีสินค้าสต็อกเก่าจำหน่ายได้อีก 1 เดือน ส่วนปัญหาเรื่องการย้ายฐานการผลิตนั้นอุตสาหกรรมที่มีการใช้ไฟฟ้าในขบวนการผลิตมากมีความเสี่ยง เช่น ธุรกิจเซรามิก ธุรกิจผลิตขวดแก้ว , อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เยื่อกระดาษ เหล็ก อลูมิเนียม ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำหากได้รับผลกระทบเอสเอ็มอีที่เกี่ยวเนื่องจะถูกกระทบรุนแรงด้วย

นายสุรงค์ บูลกุล รองประธานกรรมกาจรหอการค้าไทย กล่าวว่า การตรึงค่าไฟภาคครัวเรือนรัฐบาลควรจัดหางบเฉพาะมาสนับสนุนเหมือนกรณีที่ตรึงราคาดีเซล ไม่ใช่โยนภาระให้ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งต้องปรับเกณฑ์การใช้ไฟภาคครัวเรือนใหม่ เป็นแบบขั้นบันได ใช้มากจ่ายมาก ใช้น้อยจ่ายน้อย เพื่อให้ภาคครัวเรือนปรับตัวในการใช้ไฟฟ้าอย่างเหมาะสมเช่นกัน ,ขยายเพดานหนี้ 2 ปี ให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต หรือกฟผ. ด้วยการเพิ่มเพดานเงินกู้เฉพาะกิจ จัดสรรวงเงินให้ยืม และชะลอการส่งเงินรายได้เข้าคลัง รวมทั้งขอให้รัฐบาลมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านพลังงาน หรือ กรอ.ด้านพลังงาน เพื่อให้เอกชนมส่วนร่วมด้านพลังงานมากขึ้น

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ในปีนี้ภาคค้าปลีกและบริการ มีต้นทุนค่าไฟฟ้า 20-50% คิดเป็นค่าใช้จ่าย 3 หมื่นล้านบาท/ปี  หากค่าไฟปรับขึ้นอีก 20% จะเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับภาค ค้าปลีกและบริการเพิ่มขึ้นอีกปีละ 6 พันล้านบาท ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือเอสเอ็มอี 2.4 ล้านราย และแรงงาน 13 ล้านคนในภาคค้าปลีกและบริการอยู่รอด จึงขอเสนอภาครัฐให้ทบทวนและพิจารณา ตรึงราคาค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ออกไปอีก 1ปี ,ลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน และงดเก็บภาษีนำเข้าอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการลงทุนด้านพลังงานทดแทนและทบทวนโครงสร้างการคิดค่าเอฟที FT ให้เป็นธรรมแก่ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและผู้บริโภค โดยไม่เอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

เพิ่มเพื่อน

Adblock test (Why?)


ค่าไฟขึ้นดันราคาสินค้าแพง กกร.ชี้กระทบเป็นลูกโซ่ทั้งเงินเฟ้อ-อุตฯย้ายฐานผลิต - ไทยโพสต์
Read More

Friday, December 23, 2022

เช้าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,614.97 จุด ลดลง -1.70 จุด หรือ -0.11% - efinanceThai

รายงานพิเศษ: ทั่วโลกหวั่น! บ. เทคฯ ยักษ์ใหญ่แห่เลย์ออฟพนักงาน ถึงยุคตกงานจริงหรือ

23 ธันวาคม 2565 16:52

Adblock test (Why?)


เช้าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,614.97 จุด ลดลง -1.70 จุด หรือ -0.11% - efinanceThai
Read More

Bitkub Chain ปิดสถิติปีนี้ 400 ล้านธุรกรรม เคลื่อนสู่ PoS ปีหน้า - efinanceThai

             “บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี”  อัปเดตข้อมูลการพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับนักพัฒนาและฟังก์ชันใหม่ พร้อมเผยแผนการพัฒนาเครือข่ายก้าวสำคัญในปี 2566 ในงาน  Bitkub Chain Developer Meetup (BKCDM) ครั้งที่ 2 

 

             ***สถิติและความสำเร็จของ Bitkub Chain ในปี 2022

             นายภาสกร ปานนอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จของ Bitkub Chain และสถิติต่าง ๆ ในปี 2022 ที่ผ่านมาว่า  Bitkub Chain มียอด Transaction ทั้งหมดที่วัดตามมาตรฐานสากลแล้วเกือบ 400 ล้าน Transaction รวมถึงมีจำนวน NFT บนแพลตฟอร์ม Bitkub NFT กว่า 21 ล้านชิ้น 

             พร้อมกับเผยถึงข้อมูลสำคัญของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้แก่ 

             1.Bitkub NEXT - อัปเดตฟีเจอร์บน Loyalty Platform รวมถึงในวันที่ 29 ธันวาคม 2565 จะมีการเปิดตัว Dropzone ฟีเจอร์ใหม่ตัวแรกบน Bitkub NEXT

             2.Bitkub NFT - อัปเดตฟีเจอร์ที่กำลังจะเปิดตัวในอนาคต เช่น การสร้าง Gashapon Whitelist, Social DAO Lucky Pool, Auction, และการชำระค่า NFT ในรูปแบบใหม่

             3.EarnKUB - ตลอดปี 2022 ที่ผ่านมา ได้มีการเข้าร่วมกิจกรรมผ่าน EarnKUB กว่า 130,000 ครั้ง และมียอดจำนวนของรางวัลที่แจกจ่ายให้แก่ผู้ใช้งานกว่า 10,000 ชิ้น และในอนาคตจะมีการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มผ่าน EarnKUB API ที่กำลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้

             4.BKC Scan 2.0 - จะมีการปรับปรุง Bitkub Chain Exporer Tool ให้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น และไม่ซับซ้อน รวมถึงจะมีการแสดงผล และรวบรวมจำนวนธุรกรรมจาก Internal Transfer ของโทเคนทั้งหมด

             5.Bitkub Chain Layer-2 - ครั้งแรกของการเปิดตัว BKC วัง (Wang) เครือข่ายบล็อกเชนย่อยที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากเครือข่าย Bitkub Chain หลัก (Layer-1) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน รวมถึงเพิ่มความสามารถในการขยายเครือข่ายการใช้งาน (Scalability)

             6.Bitkub Chain Developer Center - แพลตฟอร์มสนับสนุนนักพัฒนา ในการพัฒนาโปรเจกต์บน Bitkub Chain ประกอบด้วยเครื่องมือจัดเต็มทุกรูปแบบสำหรับนักพัฒนา ไม่ว่าจะเป็น Project Registration, Full Documentation, Bitkub Chain SDK, Bitkub NEXT SDK และ Bitkub Chain Infra as a Service

             ***เจาะลึกเทคโนโลยีอันล้ำสมัยบน Bitkub Chain

             นายวรกต ตั้งศิริมงคล Technology Director บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดการเปิดตัวของเครือข่ายย่อยที่ 2 หรือ BKC Wang ซึ่งจะมาพร้อมกับเทคโนโลยี EVM Compatible รวมถึงสามารถดำเนินการดึงข้อมูลจากเครือข่ายนอก (Off-chain) มาเก็บบนเครือข่าย BKC Wang ได้ นอกจากนี้ ยังมีค่าธรรมเนียมที่ถูกและกระจายศูนย์มากขึ้น (Decentralized) 

             ทั้งนี้ การใช้งานเครือข่ายย่อย BKC Wang จะเหมาะสมกับนักพัฒนา ที่ต้องการพัฒนาโปรเจกต์บน Side Chain และ Private Chain 

             นอกเหนือจากการเปิดตัว BKC Wang แล้ว ยังมี BKC Scan 2.0 โดยได้พัฒนาอัลกอริทึมการนับยอดธุรกรรมให้มีความเสถียรมากขึ้นและนับตามมาตรฐานสากล อีกทั้งยังได้มีการปรับดีไซน์ให้มีความเป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (User-friendly) 

             นอกจากนี้ หากผู้ที่ต้องการพัฒนาโปรเจกต์บน Bitkub Chain สามารถลงทะเบียนได้ที่แพลตฟอร์ม Bitkub Chain Developer Center (เว็บไซต์ developers.bitkubchain.com) ซึ่งในแพ็กเกจการ Subscription รายปี จะมาพร้อมกับ Bitkub Chain SDK 1.0 ชุดคู่มือรูปแบบใหม่ ที่ออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้สะดวกและง่ายมากยิ่งขึ้น โดยจะเปิดตัวภายในไตรมาส 1 ปี 2566 

             พร้อมกับแย้มรายละเอียดการเป็นผู้ตรวจสอบธุรกรรม (Node Validator) สำหรับการเปลี่ยนผ่านระบบฉันทามติเป็น Proof-of-Stake ในปีหน้าว่า ผู้เข้าร่วมจะต้องถือครอง KUB จำนวน 10  KUB ขึ้นไปและ 100,000 KUB สำหรับ Pool ใหญ่

             ***เปิดเผยไฮไลท์สำคัญของ Bitkub Metaverse

             นายสำเร็จ วจนะเสถียร President จาก บริษัท XRB Galaxy ได้เผยถึงข้อมูลไฮไลท์สำคัญของ Bitkub Metaverse โดยจะมีที่ดิน 5 ขนาดประกอบด้วย XS, S, M, L และ XL และฟาร์มที่มาพร้อมขนาด 1*1 เมตร ที่สามารถสร้างและปลูกผลผลิตเฉพาะสำหรับฟาร์มแปลงนั้น ๆ นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถเป็นเจ้าของสัมปทานที่ผู้อื่นสามารถนำวัตถุดิบ (Raw Material) มาซื้อขาย รวมถึงสร้างนวัตกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นการต่อยอดวัตถุดิบที่หาได้จากฟาร์ม ผ่านเครื่องผลิต (Manufacturing Machine) ทำให้เกิดเศรษฐกิจขนาดย่อมภายในดินแดนแห่งนี้ รวมถึงการปรับแต่ง Avartar ที่มาในรูปแบบ NFT โดยทุกส่วนจะมีลักษณะเฉพาะไม่ซ้ำกันกว่าหลากหลายรูปแบบ

 

                *การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ผู้สนใจควรศึกษาข้อมูลและประเมินความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

 

Adblock test (Why?)


Bitkub Chain ปิดสถิติปีนี้ 400 ล้านธุรกรรม เคลื่อนสู่ PoS ปีหน้า - efinanceThai
Read More

Thursday, December 22, 2022

Moshi ปิดเทรดวันแรก 32 บาท สูงกว่าราคาขาย Ipo 52.38% - https://ift.tt/4xN9z5q

[unable to retrieve full-text content]

  1. Moshi ปิดเทรดวันแรก 32 บาท สูงกว่าราคาขาย Ipo 52.38%  https://ift.tt/4xN9z5q
  2. สังคมข่าวหุ้น  ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์
  3. MOSHI เปิดเทรดวันแรก 35 บาท เหนือจอง 66.67%  กรุงเทพธุรกิจ
  4. MOSHI เปิดเทรดวันแรก 35 บาท พุ่งเหนือจอง 66.67%  ฐานเศรษฐกิจ
  5. MOSHI ปิดเทรดวันแรก 32 บาท เหนือจอง 52% ซื้อขายแน่น 3.36 พันล้าน  ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์
  6. ดูเรื่องราวจากทุกช่องทางใน Google News

Moshi ปิดเทรดวันแรก 32 บาท สูงกว่าราคาขาย Ipo 52.38% - https://ift.tt/4xN9z5q
Read More

KGI คว้า 2 รางวัลรวดจากงาน TFEX Best Award 2022 - efinanceThai

ปิดตลาด TFEX ช่วงเช้า วันที่ 21 ธ.ค. 65 สินค้า SET50 Index Futures มีปริมาณการซื้อขายรวมทั้งตลาด 85,762 สัญญา

21 ธันวาคม 2565 12:31

Adblock test (Why?)


KGI คว้า 2 รางวัลรวดจากงาน TFEX Best Award 2022 - efinanceThai
Read More

Wednesday, December 21, 2022

NIA เปิด 7 เทรนด์สร้างไทยสู่สายแข็งด้านนวัตกรรม - Techsauce

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดข้อมูล 7 เทรนด์นวัตกรรมปี 2566 ที่สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับไทยและในระดับโลก ได้แก่ ขาขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ด้านพลังงาน การฟื้นสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอากาศยาน ผู้เล่นใหม่จากวงการเทคโนโลยีเชิงลึก การกลับมาผงาดอีกครั้งของญี่ปุ่นด้วยซอฟต์พาวเวอร์ ปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์เนื้อหาจากข้อมูล เข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีอาหาร และการลงทุนขนานใหญ่ในเทคโนโลยีความมั่นคง 

นอกจากนี้ ยังตอกย้ำเป้าหมายการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น “ประเทศแห่งนวัตกรรม” และติดอันดับ 1 ใน 30 ของประเทศที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมของโลก ภายในปี 2573 ด้วยการเร่งปั้นสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านนวัตกรรม พร้อมส่งเสริมการสร้างระบบนวัตกรรมแห่งชาติที่เข้มแข็งภายใต้ 4 กลยุทธ์ ได้แก่ พัฒนาระบบนวัตกรรมไทยเป็นระบบที่เปิดกว้าง พลิกโฉมระบบการเงินนวัตกรรมไทย สร้างระบบข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม และองค์กรสมรรถนะสูงที่พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลง 

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า NIA ในฐานะหน่วยงานสนับสนุนการสร้างระบบนวัตกรรมของประเทศ มีเป้าหมายสูงสุดที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น “ประเทศแห่งนวัตกรรม” และติดอันดับ 1 ใน 30 ของประเทศที่มีความสามารถด้านนวัตกรรมของโลก ภายในปี 2573 โดยหนึ่งในกลไกสำคัญคือการเร่งปั้นสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการด้านนวัตกรรมให้สอดรับกับเทรนด์โลก 

NIA

ซึ่งพบว่าในปี 2566 มี 7 เทรนด์นวัตกรรมที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ได้แก่ ขาขึ้นของเทคโนโลยีใหม่ด้านพลังงาน (New energytech on the rise) โดยเปลี่ยนจากการใช้พลังงานปิโตรเลียมเป็นพลังงานหมุนเวียน เช่น ระบบกักเก็บพลังงานแสงอาทิตย์แบบเข้มข้น การแปลงพลังงานจากแหล่งความร้อนใต้พิภพ พลังงานชีวภาพ พลังงานไฟฟ้า และพลังงานไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งเทคโนโลยีที่สำคัญต่อการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในอนาคตก็คือ ระบบสำรองพลังงานประสิทธิภาพสูง เช่น การสำรองไฟฟ้าสำหรับระบบโครงข่ายพลังงาน เทคโนโลยีสำรองไฟฟ้าแบบวัสดุลิเทียมไอออนขั้นสูง ระบบแบตเตอรี่ทางเลือก เป็นต้น

การฟื้นสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอากาศยาน (Regenerating travel and aviation industries) แม้ว่าการเปิดประเทศภายหลังวิกฤตการณ์โควิด-19 ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวกลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่รูปแบบการเดินทางและท่องเที่ยวมีการปรับเปลี่ยนไป ผู้ประกอบการจึงต้องพัฒนาการท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์ความยั่งยืนด้วยนวัตกรรม ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ตั้งแต่การพัฒนารูปแบบตลาดที่ลดการพึ่งพิงนักท่องเที่ยวต่างชาติ การอำนวยความสะดวกและสร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล 

การบริหารจัดการที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ การท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์ชุมชน รวมถึงการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่อย่าง Workation หรือ Stacation ในด้านธุรกิจการบินก็ต้องนำนวัตกรรมเข้ามาช่วยบริหารจัดการปัญญาการขาดแคลนบุคลากรและทรัพยากรในห่วงโซ่ การให้บริการที่ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาและบริหารจัดการเชื้อเพลิงสำหรับอากาศยานอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้เล่นใหม่จากวงการเทคโนโลยีเชิงลึก (Deeptech startup, a newcomers) เป็นคำตอบของการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาสำคัญของโลก โดยเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อน ยากต่อการเลียนแบบ จึงสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันบนฐานของทรัพย์สินทางปัญญา สามารถผลักดันธุรกิจให้ขยาย - สร้างตลาดใหม่ได้ในระดับนานาชาติได้ 

อีกทั้งยังได้รับความสนใจจากผู้ใช้หรือนักลงทุนทั้งในกลุ่มเกษตร อาหาร อวกาศ เทคโนโลยีเสมือนจริง เซนเซอร์ ฯลฯ เนื่องจากเป็นผู้ที่สร้างความแตกต่างให้กับวงการเหล่านั้น ทั้งนี้ พบว่าการระดมทุนของธุรกิจดีพเทคเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากตั้งแต่ปี 2561 ถึงปี 2565 จาก 15 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ เป็น 60 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยกลุ่มตัวอย่างของนวัตกรรม เช่น ผลิตภัณฑ์ของ Apple วัคซีนโควิด 19 รถไฟฟ้า Tesla ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงพลังของดีพเทคที่อาจจะเป็นคลื่นลูกที่ 4 ในการปฏิวัติอุตสาหกรรม

การกลับมาผงาดอีกครั้งของญี่ปุ่นด้วยซอฟต์พาวเวอร์ (Return of Japan Soft Power) ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความโด่ดเด่นในการใช้ซอร์ฟพาวเวอร์มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่อดีต ซึ่งไม่ได้เป็นแค่การเติบโตของอุตสาหกรรม แต่ยังเป็นการสร้างการรับรู้ให้กับประเทศในเวทีสากล เช่น การนำซอฟต์พาวเวอร์มากระตุ้นและใช้งานผ่านกิจกรรมโอลิมปิก 2020 โดยนำจุดเด่นของ MAG culture (หนังสือการ์ตูน; manga, อะนิเมะ; anime และ เกม; games) และตัวละครอย่างมาริโอ้ โปเกมอน หรือ โดราเอมอน มาใช้ประโยชน์ในการสื่อสารและเชื่อมโยงกับผู้คน 

ส่วนประเทศไทยภาครัฐได้มีแนวทางการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ภายใต้กรอบ 5F ได้แก่ Food (อาหาร) Film (ภาพยนตร์และ วีดิทัศน์) Fashion (ผ้าไทยและการออกแบบแฟชั่น) Fighting (ศิลปะการต่อสู้-มวยไทย) และงานเทศกาล (Festival) โดยนวัตกรรมที่คาดว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อน 5F ของไทยที่เห็นได้ชัดคือ NFT (Non-fungible Token) โดยเฉพาะในตลาดนักสะสมของหายาก และเป็นช่องทางสำหรับศิลปินและผู้ผลิตผลงานศิลป์หน้าใหม่ ทำให้ระบบนิเวศของผลงานสร้างสรรค์ไทยเติบโตและผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ ไทยให้เข้มแข็ง

ปัญญาประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์เนื้อหาจากข้อมูล (Sophisticated AI for data-driven content creation) ดิจิทัลได้ปฏิวัติภูมิทัศน์สื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเข้าถึงผู้คน และเปิดทางให้กับ “คอนเทนต์ครีเอเตอร์” หลายล้านคนเข้ามาสร้างพื้นที่เศรษฐกิจสื่อรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Creator Economy” โดยเฉพาะผู้สร้างที่เป็นปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่ปัจจุบันสามารถวิเคราะห์ข้อมูลที่มนุษย์ได้ออกแบบ - สอนไว้ในการสร้างไอเดียและเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอนเทนท์ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนในระดับปัจเจกมากยิ่งขึ้น 

โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 56.5 เมื่อเทียบกับการใช้งาน AI ในด้านอื่น นอกจากนี้ AI ยังมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงในมิติอื่น เช่น Virtual influencer ที่สามารถควบคุมและกำหนดทิศทางการสื่อสารได้ง่ายกว่าการใช้มนุษย์ มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ บุคลิกภาพโดดเด่นดึงดูดสายตาไม่ต่างจากนางแบบที่เป็นมนุษย์จริง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการรักษาภาพลักษณ์และลดต้นทุนของแบรนด์ได้อีกด้วย

เข้าสู่ยุคใหม่ของเทคโนโลยีอาหาร (Next generation of foodtech) การเพิ่มขึ้นของประชากรโลก พฤติกรรมการบริโภคที่เน้นอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารที่มีกระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้เทคโนโลยีชีวภาพมีส่วนสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาทรัพยากรอาหารที่มีอยู่อย่างจำกัด รวมถึงเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมอาหาร ต่อยอดกระบวนการผลิตอาหารให้ตอบโจทย์การลดภาวะโลกร้อนไปพร้อมกับสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนต่อโลก 

เช่น เนื้อที่ทำจากพืช เนื้อสัตว์ที่เพาะในห้องแลป อาหารจากเครื่องปริ้นสามมิติ อาหารทางเลือกที่ปราศจากการปรุงแต่ง หรือผ่านการปรุงแต่งน้อย อาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อาหารที่อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาดอาหารแห่งอนาคตของโลกในปี 2568 จะมีมูลค่าถึง 0.31 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 51 เมื่อเทียบกับปี 2563

การลงทุนขนานใหญ่ในเทคโนโลยีความมั่นคง (Hyper Spending on Defense Tech) การพัฒนาเทคโนโลยีทางการทหารเป็นสิ่งที่หลายประเทศให้ความสำคัญเพื่อประโยชน์ด้านความมั่นคงและทางเศรษฐกิจ เช่น การเตรียมความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์และความมั่นคงข่าวสารทำให้เกิดการลงทุนด้านนวัตกรรมทางการทหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย รัสเซีย และสหราชอาณาจักรที่มีการใช้จ่ายงบประมาณด้านนี้สูงสุด 

ส่วนนวัตกรรมที่มีความสำคัญได้แก่ การพัฒนาเทคโนโลยีด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการบินเหนือเสียง หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ และอาวุธพลังงานสูง อย่างไรก็ตาม เมื่อมองถึงประเทศไทยรัฐบาลก็มีนโยบายในการผลักดันให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เป็น S-Curve ตัวที่ 11 โดยเน้นการส่งเสริมและวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีสองทาง (Dual-Use) ที่สามารถนำมาใช้งานได้ทั้งภารกิจด้านความมั่นคงและสำหรับภาคพลเรือนทั่วไปเชิงพาณิชย์

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวว่า ในปี 2566 นี้ NIA จะส่งเสริมนวัตกรรมภายใต้กลยุทธ์การดำเนินงานระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) โดยแบ่งเป็น 4 กลยุทธ์ ได้แก่ พัฒนาระบบนวัตกรรมไทยเป็นระบบที่เปิดกว้างเชื่อมโยงความร่วมมือทั้งในระดับประเทศและระดับเวทีสากล สร้างโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรและการสนับสนุนอย่างทั่วถึง เพื่อเพิ่มจำนวนธุรกิจนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อประเทศ พลิกโฉมระบบการเงินนวัตกรรมไทย ผ่านการเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดระบบการเงินนวัตกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรม สนับสนุนการเติบโต และเข้าถึงได้ 

ช่วยให้ธุรกิจนวัตกรรมสามารถเติบโตและมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ สร้างระบบข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม สร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและเชิงระบบด้วยการเชื่อมโยงและใช้ประโยชน์เครือข่ายข้อมูลนวัตกรรม เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจบนหลักฐานเชิงประจักษ์ของนักนโยบายและผู้ประกอบการในการสร้างและพัฒนานวัตกรรม และยกระดับ NIA ให้เป็นองค์กรสมรรถนะสูงที่พร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงระบบนวัตกรรม และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยการปรับเปลี่ยนสู่องค์กรดิจิทัล ปรับใช้มาตรฐานการบริหารจัดการ และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร

“NIA จะเปลี่ยนบทบาท “สะพานเชื่อม (System Integrator)” สู่ “ผู้อำนวยความสะดวกทางนวัตกรรม (Focal Facilitator)” เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มความเข้มแข็งของพื้นที่ และการพัฒนาศักยภาพและการเติบโตของสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่เวทีโลกอย่างยั่งยืน รวมถึงเร่งผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น “ประเทศแห่งนวัตกรรม” เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์โลก”

NIA

ดร.พันธุ์อาจ กล่าวเพิ่มเติมว่า คาดการณ์ว่าปี 2566 ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าทางนวัตกรรมที่ดีขึ้น โดยเฉพาะมิติด้านเทคโนโลยีเชิงลึก และการท่องเที่ยว โดยคาดว่าผลการจัดอันดับนวัตกรรมโลกยังมีโอกาสก้าวไปสู่อันดับที่ดีขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ในอันดับ 43 โดยมีปัจจัยส่งเสริมคือ กลุ่มปัจจัยด้านระบบธุรกิจโดยเฉพาะสัดส่วนค่าใช้จ่ายมวลรวมด้านวิจัยและพัฒนาที่ลงทุนโดยองค์กรธุรกิจ (อันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3) 

ซึ่งสะท้อนให้เห็นการลงทุนของภาคเอกชนไทยที่มุ่งเน้นเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจด้วยการพัฒนานวัตกรรมมากขึ้น และกลุ่มปัจจัยผลผลิตจากความคิดสร้างสรรค์ที่ภาพรวมปรับตัวดีขึ้น 6 อันดับ (อันดับที่ 49) โดยมีจุดแข็งด้านการส่งออกสินค้าและบริการเชิงสร้างสรรค์ (อันดับที่ 1) 

นอกจากนี้ ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยขยายตัวได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น การเปิดพื้นที่ทดลองธุรกิจสำหรับภาคเอกชน โครงการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตลอดจนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาสนใจอาชีพและธุรกิจนวัตกรรม ซึ่ง NIA พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ทุกเป้าหมายก้าวไปสู่เวทีนานาชาติ

Adblock test (Why?)


NIA เปิด 7 เทรนด์สร้างไทยสู่สายแข็งด้านนวัตกรรม - Techsauce
Read More

Forward ปิดดีลระดมทุนเพิ่มจาก Kyber Ventures ชี้ DeFi นำสู่โลกการเงินยุคใหม่ - กรุงเทพธุรกิจ

นายชานน จรัสสุทธิกุล ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Forward เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปิดดีลระดมทุนเพิ่มเติมว่า ล่าสุด Kyber Ventures ได้ร่วมลงทุนใน Forward โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรม DeFi (ระบบการเงินแบบกระจายศูนย์) ด้วยมองว่าวิกฤตของอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซี่ที่เกิดขึ้นในรอบปีนั้นส่วนใหญ่มาจาก CEX (Centralised Exchange) หรือแพลตฟอร์มธุรกิจแบบรวมศูนย์ เช่น FTX  

“ในขณะที่ Forward เป็น DeFi แพลตฟอร์ม ที่ออกแบบสำหรับ Web3 ที่จะเป็นอินเตอร์เน็ตยุคใหม่แบบกระจายศูนย์ ซึ่งตัดการจัดการจากส่วนกลางแบบดั้งเดิมที่รับมือกับความเสี่ยงได้น้อย มีความผิดพลาดของมนุษย์และมีช่องโหว่ให้เกิดธุรกรรมแบบไม่โปร่งใสได้มากกว่า” 

"ระบบการเงินแบบกระจายศูนย์หรือ DeFi จึงน่าจะเป็นอีกคำตอบนึงของโลกการเงินยุคใหม่ในโลกของคริปโทที่ต้องเน้นความถูกต้องทางบัญชี และความปลอดภัยในสินทรัพย์ของนักลงทุนเป็นหลักรวมถึง สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ที่ทุกคนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" 

ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษาForward ให้มุมมองต่อสถานการณ์ตลาดคริปโทโดยรวมว่า  ตลาดคริปโทในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้านี้จะเป็นอย่างไร หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ CPI เดือน พ.ย. +7.1% YoY ซึ่งต่ำกว่าคาด และ FED ก็ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ซึ่งไม่ aggressive เหมือน 3-4 เดือนที่ผ่านมา

การที่อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าในการจัดการกับเงินเฟ้อ รวมไปถึงการผ่อนคลายความกังวลในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เป็นผลที่ดีต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งหุ้นและคริปโท ซึ่งจะเห็นว่าตลาดหุ้นใน US ทั้ง S&P, Dow, Nasdaq ต่างปรับตัวเป็นบวก รวมถึงราคา BTC 1.6% ทันทีในหนึ่งนาทีหลังจากประกาศ ไปที่ราคา $17,915  และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องราวๆ 5% ในรอบวัน ในขณะที่ ETH ก็วิ่งขึ้นเกือบๆ 7% เช่นกัน รวมถึงราคาของ Altcoins ต่างๆ โดยรวม ก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม จากมุมมองของนักวิเคราะห์หลายๆ คน รวมถึงการแสดงออกของ FED เราน่าจะยังเห็นการบังคับใช้มาตรการแบบเข้มข้น ไปอีกซักพัก ซึ่งอาจจะยาวไปถึงกลางปีหน้า ซึ่งอาจจะทำให้ดอกเบี้ยขึ้นไปจนถึง 5.1-5.25% กว่าที่ FED จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการลง

ผศ.ดร.อุดมศักดิ์  คาดการณ์สถานการณ์ตลาดคริปโตในปี 2566 ว่า  น่าจะยังคงต้องระมัดระวัง และจับตามองอย่างใกล้ชิด เราน่าจะยังไม่สามารถเห็นการฟื้นตัวของราคาที่ปรับเป็นขาขึ้น อย่างน้อยก็ในครึ่งปีแรก เนื่องจากทั้งความกดดันของมาตรการของ FED ที่ยังคงอยู่ รวมไปถึงความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาจากการล่มสลายของ FTX และ Alameda Research  

นักลงทุนจำนวนมากยังมีความกังวลกับโดมิโน่ที่จะตามมา รวมถึงยังไม่มีความมั่นใจในผู้เล่นเจ้าใหญ่ต่างๆ ว่ายังมีความสูญเสียที่ซ่อนไว้อยู่อีกหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น Genesis แพลตฟอร์มที่เป็น Prime Broker ขนาดใหญ่ในวงการคริปโทของโลก ที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากทั้งการที่มีเงินติดอยู่ใน FTX และมีการปล่อยกู้จำนวนมากให้กับ Alameda นอกจากนี้ Genesis เองก็มีธุรกรรมมากมายกับสถาบันต่างๆ ทั้งในและนอกกลุ่มคริปโท

มากกว่านั้นยังมี Greyscale ที่เป็น Bitcoin Trust ที่ครอบครอง BTC อยู่ถึง 3% ของ BTC ทั้งโลก ที่เปิดให้นักลงทุนสถาบันจำนวนมากสามารถเข้ามาถือ BTC ได้ ซึ่งสูญเสียความเชื่อมั่น และไม่ยอมที่จะแสดงหลักฐานของการถือ BTC ซึ่งทำให้ราคา BTC ที่เป็นหน่วยลงทุนของ Greyscale ลดลงต่ำกว่าตลาดถึง 45% ทั้งๆ ที่เคยมีราคาสูงกว่าตลาดมาโดยตลอด ซึ่งทั้ง Grayscale และ Genesis ต่างเป็นบริษัทลูกของ Digital Currency Group (DCG) บริษัทยักษ์ทางฝั่งคริปโทที่เป็นผู้ลงทุนในมากกว่า 160 บริษัททั่วอุตสาหกรรม ซึ่งรวมไปถึง Coinbase, Coindesk, และ Ledger การที่เกิดความไม่แน่นอน ในทั้งสองบริษัทลูก บวกกับการที่มีข่าวการกู้ยืมกันระหว่างบริษัทลูกและบริษัทแม่ ยิ่งเป็นแรงกดดันที่ทำให้เกิดความไม่ไว้ใจในบัญชีของ DCG

คำแนะนำนักลงทุน มองว่า การลงทุนในปีหน้าช่วงต้นปี คงยังต้องทำด้วยความระมัดระวัง จากแรงกดดันตลาดต่างๆ  รวมถึงความเป็นไปได้ในการผลุดขึ้นมาของบริษัทต่างๆ ที่ซุกปัญหาไว้ใต้พรม เราน่าจะได้เห็นบทเรียนจากตลาดแล้วว่า เรื่องเซอร์ไพรซ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้เสมอ Exchange ที่ใหญ่อันดับสองของโลก ยังล่มสลายได้ในสามวัน ราคา Token FTT ที่ลดลงเกือบจะ 100% ในเวลาอันสั้น สิ่งเหล่านี้น่าจะตอกย้ำถึงความเสี่ยง และความไม่แน่นอนในตลาด การบริหารความเสี่ยง ไม่ลงทุนหรือเก็งกำไรจนเกินตัว น่าจะเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับตลาดในครึ่งปีหน้า

ล่าสุด มูลค่าซื้อขายรวมของตลาดในรอบ 24 ชั่วโมง ที่ผ่านมา (20 ธันวาคม 2565) อ้างอิง CoinMarket Cap มูลค่ารวมของตลาด crypto อยู่ที่ 36.08 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 9.21% ขณะที่มูลค่ารวมของตลาด DeFi ปัจจุบันอยู่ที่ 1.71 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 4.74% ของตลาด crypto ทั้งหมด  มูลค่าของเหรียญที่มีเสถียรภาพทั้งหมดอยู่ที่ 33.21พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 92.04% ของตลาด crypto ทั้งหมดBitcoin ในปัจจุบันครองตลาดอยู่ที่ 39.98% เพิ่มขึ้น 0.11% 
 

Adblock test (Why?)


Forward ปิดดีลระดมทุนเพิ่มจาก Kyber Ventures ชี้ DeFi นำสู่โลกการเงินยุคใหม่ - กรุงเทพธุรกิจ
Read More

เงินบาทผันผวน จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า-เงินเฟ้อเดือนม.ค.ของไทย - ประชาชาติธุรกิจ

[unable to retrieve full-text content] เงินบาทผันผวน จับตาปัจจัยสำคัญสัปดาห์หน้า-เงินเฟ้อเดือนม.ค.ของไทย    ประชาชาติธุรกิจ ดูเรื่องราวจากท...